นายวิทวัส วิภากุล กรรมการ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 66 จะสร้างรายได้ 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากทั้ง 2 ธุรกิจหลัก โดยมาจากธุรกิจโรงแรม 3 พันล้านบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 พันล้านบาทส่งผลให้รายได้ปีนี้จะเป็น All-Time High สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และจะพลิกกลับมามีกำไรครั้งแรกในรอบ 4 ปี จากธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างโดดเด่น
ในปีนี้ธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาฟื้นตัว หลังจากปีที่ผ่านมาโควิด-19 ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง บริษัทจึงมั่นใจว่ายอดขายและรายได้จะกลับมาเติบโต โดยเฉพาะแผนสร้างการเติบโตด้วยการผนึกพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งต่างประเทศและในประเทศ ผสานจุดแข็งร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด ร่วมกันพัฒนา โครงการ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย
สำหรับธุรกิจโรงแรม ได้แก่ Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit, The Westin Grande Sukhumvit, Royal Orchid Sheraton Hotels & Towers, Sheraton Hua Hin Resort & Spa และ Sheraton Hua Hin Pranburi Villas คาดว่าจะได้รับผลดีจากที่การท่องเที่ยวทั่วโลกฟื้นตัวหลังจากได้รัลผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มาตั้งแต่ปลายปี 62 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะเพิ่มเป็น 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 62% ของปี 62
รายได้เฉลี่ยของห้องพัก (RevPar) มีการปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว แต่ยังมีโรงแรม Royal Orchid Sheraton ที่ยังไม่สามารถปรับขึ้นค่าห้องพักได้ เพราะเป็นโรงแรมที่ยังมีอัตราการเข้าพักที่ต่ำอยู่ในเครือ จากกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่ใช้บริการโรงแรมดังกล่าวเป็นลูกค้าชาวจีน ซึ่งกำลังทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่ยังไม่มาก ทำให้การปรับเรทห้องพักขึ้นทำได้ช้า ในขณะที่โรงแรมในกรุงเทพฯ 2 แห่ง หัวหิน ปราณบุรี อัตราการเข้าพักกลับไปที่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว
ล่าสุดอัตราการเข้าพัก (OCC) ของโรงแรมในเครือของบริษัทเพิ่มมาเป็นเฉลี่ยกว่า 70% จากในช่วงปีก่อนที่ 47% โดยคาดว่าทั้งปี 66 อัตราการเข้าพักอยู่ที่ 72% คาดว่ารายได้ทั้งปีนี้จะฟื้นตัวไปเท่ากับปี 62 ซึ่งมาจากหลายปัจจัยหลัก เช่น ที่ตั้งของโรงแรมที่สามารถเดินทางได้สะดวกหลากหลายช่องทางสามารถเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวและพื้นที่ธุรกิจสำคัญได้รวดเร็ว และรวมถึงใกล้ศูนย์ประชุมแห่งชาติ จึงเป็นที่ชื่นชอบของทั้งนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว และผู้มาร่วมงานประชุม MICE
ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัดก็มีความพร้อมต้อนรับลูกค้าทุกประเภท โดยเฉพาะงานแต่งงานของชาวอินเดีย ชื่นชอบโรงแรมในเครือของบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านนี้ และรวมถึงนักเดินทางจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ชื่นชอบความหรูหราและความเป็นส่วนตัว ตรงกับความเป็นตัวเองของโรงแรมสไตล์วิลล่าของบริษัทเช่นกัน
"เรายังใช้เวลาช่วงที่ผ่านมาปรับปรุงส่วนต่างๆ ของโรงแรมเพื่อรอรับการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว อาทิ ทำการปรับปรุงร้านอาหารโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน 2 แห่ง ได้แก่ สยาม ยอร์ช คลับ ร้านอาหารและบาร์สุดหรูแห่งใหม่ และ จิออร์จิโอ ร้านอาหารอิตาเลียน โดยใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อให้เป็นโรงแรมริมแม่น้ำที่มีร้านอาหารติดริมแม่น้ำที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งบรรยากาศภายในร้านอาหาร และแบ็คกราวน์ด้านหลังที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมที่สวยงาม ซึ่งร้านอาหารใหม่ทั้ง 2 แห่งนี้ จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรม" นายวิทวัส กล่าว
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3 พันล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ภายใต้การร่วมทุนกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี 2 พันล้านบาท หลังจากโครงการแล้วเสร็จทำให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติตัดสินใจซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนมากขึ้น, โครงการ ไฮด์ สุขุมวิท 11 จำนวน 600 ล้านบาท และโครงการอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง จำนวน 400 ล้านบาท
นายวิทวัส กล่าวว่า บริษัทผนึกความร่วมมือกับ "อมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอ์รท" แบรนด์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) ในโครงการอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง มอบประสบการณ์สุขภาพดีให้แก่ ผู้พักอาศัย ด้วยพูลวิลล่าระดับ 5 ดาวริมทะเลท่ามกลางธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย้ำจุดแข็งที่ตั้งโครงการในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) พร้อมก้าวสู่ "จุดหมายปลายทาง" ที่พักอาศัยด้านสุขภาพระดับเวิลด์คลาสแห่งใหม่ในอนาคต ซึ่งปีนี้มีแผนจะเริ่มก่อสร้างพื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบ Beach Bar เพิ่มเติมอีกด้วย
ด้านการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่งของบริษัท จะเดินหน้าทยอยโอนให้กับลูกค้าต่อเนื่อง โดนที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เข้ามาในปีนี้ พร้อมกับการเดินหน้าขายสต็อกของบริษัทที่มีมูลค่าเหลือ 3.6-3.7 พันล้านบาท ช่วยหนุนยอดโอนให้เป็นไปตามแผน และในช่วงปลายปีจะมีการโอนโครงการวิลล่าที่ระยอง 9 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท เข้ามาหนุนรายได้อสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจถุงมือยาง ถือว่าเป็นช่วงชะลอตัวหลังจากโควิด-19 คลี่คลายลง และมีการทยอยยกเลิกมาตรการควบคุมต่างๆ แต่บริษัทยังคงเดินหน้าธุรกิจดังกล่าวต่อเพื่อให้ถึงจุดคุ้มทุนในปีนี้ และปรับไลน์การผลิตถุงมือยางไปในกลุ่มที่มีความต้องการใช้ในระยะยาว ได้แก่ ถุงมือยางสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มที่ดูแลคนชรา เป็นต้น เพื่อหาแนวทางในการสร้างฐานลูกค้าใหม่เข้ามาทดแทน
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 230-240 ล้านบาท เพื่อรองรับการปรับปรุงห้องประชุม และห้องจัดงานของโรงแรม Royal Orchid Sheraton 30-40 ล้านบาท การปรับปรุงวิลล่า ของ Sheraton ปราณบุรี มูลค่า 100 ล้านบาท และลงทุนในโครงการวิลล่าที่ระยอง 100 ล้านบาท ส่วนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน บมจ.โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) (ROH) ที่ GRAND ถือหุ้นอยู่ 97% นั้น อยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรที่มีศักยภาพที่จะมาเสริมศักยภาพให้กับบริษัท โดยเฉพาะในด้านของ Wellness ที่บริษัทต้องการมุ่งไปเพิ่มเติม
โดยการลงทุนด้าน Wellness บริษัทมองถึงโอกาสในการขยายการลงทุนไปในเชียงใหม่ ที่มีการศึกษาโอกาสในการลงทุนและดูที่ดินที่มีศักยภาพในการเข้าลงทุน ประกอบกับมองการลงทุนใหม่ๆในโปรเจ็คต์ Mixed Use ที่พัทยา ที่ต่อยอดการลงทุนมาจากระยอง และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการเจริญเติบโตสูง