ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา (ปี 55-65) พบว่า ในช่วง 8 ปีแรก (ปี 55-62) กำไรสุทธิรวมทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก่อนลดลงมากในปี 63 ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม ในปี 64 บริษัทจดทะเบียนไทยปรับตัวตอบรับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว กอปรกับราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดไปอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เปิดตลาด
และ ในปี 65 กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจากรายงานผลประกอบการล่าสุด พบว่า กำไรสุทธิสำหรับช่วง 9 เดือนของปี 2565 สูงกว่า 811,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทจดทะเบียนมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามผลประกอบการ และผลจากกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นในปี 64 และต่อเนื่องในปี 65 ทำให้ในปี 65 บริษัทจดทะเบียนมีการจ่ายเงินปันผลรวมสูงกว่า 645,622 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน 564 บริษัท รวม 846 ครั้ง
3 หมวดธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่าสูงสุดในปี 65 ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ในช่วงเทศกาลจ่ายเงินปันผลในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.65 บริษัทจดทะเบียนจ่ายเงินปันผลรวม 530 ครั้ง หรือคิดเป็น 62.6% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดในปี 65 โดยในเดือน พ.ค.65 มีจำนวนครั้งในการจ่ายเงินปันผลมากที่สุด รวม 441 ครั้ง หรือคิดเป็น 52.1% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดในปี 65
จากข้อมูลกำไรสุทธิรวมในปี 65 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในช่วงเวลาก่อนประกาศจ่ายเงินปันผล เป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนจะคัดเลือกหุ้นปันผลและเลือกจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้นปันผลเข้าพอร์ตการลงทุนของตน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลตามเป้าหมายที่วางไว้
จากสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกที่อยู่ในภาวะถดถอย อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับสูงส่งผลให้อำนาจซื้อในมือลดลง โดยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนที่สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ คืออยู่ในช่วง 0.20% - 1.90% และจากการพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล ณ สิ้นปี ของบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 61-65 พบว่าในทุกปีที่ทำการศึกษาผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน โดยสูงประมาณ 1.3 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนที่สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
และ ณ สิ้นปี 65 บริษัทจดทะเบียนในบางอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 5 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นทางเลือกหนึ่งการเคลื่อนย้ายเงินออมบางส่วนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น