PQS ปิดเทรดวันแรกที่ 5.75 บาท ลดลง 0.25 บาท (-4.17%) จากราคา IPO ที่ 6.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 9,655,545.37 ล้านบาท จากราคาเปิด 14.00 บาท ราคาสูงสุด 15.80 บาท ราคาต่ำสุด 5.75 บาท
บล.ทิสโก้ มองว่า บมจ.พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช (PQS) เป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจในเชิงของการเติบโตจากอุปสงค์ที่เริ่มกลับมาในต่างประเทศ (ยอดขายส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70%) ทำให้อัตราการใช้ประโยชน์ของโรงงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งปัจจุบัน PQS ยังได้รับประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้านการลงทุนให้ยกเว้นภาษีได้ทั้งในส่วนของธุรกิจแป้งมันและธุรกิจโรงไฟฟ้า
และการที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทได้มีการทำสัญญาเพิ่มเติมว่าจะไม่มีการขายหุ้นที่ถือภายใน 180 วัน เป็นการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน หากเทียบกับบริษัทในตลาดเช่น TWPC แล้วแม้จะมียอดขายที่น้อยกว่า แต่ด้วยการใช้ประโยชน์โรงงานที่สูงกว่าทำให้มีอัตรากำไรที่ดีกว่า ด้านการประเมินมูลค่าหากเทียบกับ TWPC ที่ PER ปัจจุบันอยู่ที่ 13-14 เท่าจะได้มูลค่าที่เหมาะสมราว 7.20-7.60 บาท รอดูการเปิดโรงงานของ PMS ในช่วงไตรมาส 4
PQS ดำเนินธุรกิจประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง (Native Starch) แป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified Starch) และแป้งแปรรูปอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร (Food Grade) และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแปรรูปอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร (Industrial Grade) โดยจัดจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันมีโรงงาน 3 แห่งคือ PQS ที่มุกดาหาร, PQS2012 และ PMS (กำลังก่อสร้าง)ที่สกลนคร รวมถึงการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) จากกากมันและน้ำเสียจากกระบวนการผลิต
โครงการในอนาคต 1) การลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังเพิ่มเติมจำนวน 1 แห่ง เพื่อขยายกำลังการผลิตของบริษัท โดยโรงงานผลิตแห่งใหม่มีกำลังการผลิต 120,000 ตันต่อปีส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีกำลังการผลิตกว่า 360,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ โรงงานผลิตแห่งใหม่มีแผนระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี
2) ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สกำลังการผลิต 2 MW ทำให้กำลังการผลิตรวมของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็น 8 MW เพิ่มเติมมุ่งเน้นการนำของเสียที่เกิดจากการผลิตมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและ 4) เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ