บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบในปี 66 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 81-86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 8-9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ ในปี 66 เมื่อเทียบกับปี 65 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากความต้องการซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะยังคงอ่อนแอ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และอุปทานใหม่ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงราคาน้ำมันดิบและแนฟทาที่ปรับตัวลดลง
รายงานของ S&P Global ณ เดือน ม.ค.66 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 66 คาดว่าจะขยายตัว 1.9 MMBD จากปี 65 ไปอยู่ที่ระดับ 101.7 MMBD ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และความต้องการใช้ในประเทศจีนที่จะทยอยกลับมาหลังการยกเลิกนโยบายการจัดการ COVID-19 เป็นศูนย์และเปิดประเทศ ประกอบกับกลุ่ม OPEC+ ประเมินว่าตลาดยังมีอุปทานส่วนเกินอยู่มาก จึงยังคงนโยบายควบคุมการผลิตเพื่อให้ปริมาณน้ำมันดิบเข้าสู่สมดุลมากขึ้น ในขณะที่ตลาดคลายความกังวลด้านอุปทานจากรัสเซียตึงตัว
ราคากลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในปี 66 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเทียบกับปี 65 โดยคาดว่าราคา HDPE และ PP จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,120-1,170 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ 1,050-1,200 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ จากความต้องการสินค้าปลายทางที่ยังคงซบเซา และอุปทานใหม่ในเอเชียที่เพิ่มขึ้น ทั้งส่วนที่เป็นไปตามแผนงานและส่วนที่ล่าช้ามาจากไตรมาส 4/65 อย่างไรก็ตาม การยกเลิกนโยบายการจัดการ COVID-19 เป็นศูนย์ของประเทศจีนที่เร็วกว่าคาด การเริ่มทยอยกลับมาสะสมสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงหลังตรุษจีน และการปรับลดกำลังการผลิตในบางโรงงานที่ประสบปัญหาอัตรากำไรติดลบจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดในปีนี้
ราคากลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ในปี 66 มีแนวโน้มปรับลดลงเทียบกับปี 65 โดยคาดว่าราคา BZ และ PX จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 940-990 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ 1,040-1,090เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ จากความต้องการสินค้าปลายทาง รวมถึง ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องนุ่งห่ม ที่มีแนวโน้มลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะชะลอตัว ประกอบกับอุปทานใหม่ในจีนที่จะเข้ามากดดันตลาดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้ PX จากการเป็นส่วนผสมในน้ำมันเบนซิน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาด