นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีไอ (SVI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 66 เติบโตเป็น 30,000 ล้านบาท จากแนวโน้มความต้องการลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เกี่ยวกับระบบควบคุมอุตสาหกรรม อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่ายไร้สายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ซึ่งล้วนอยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ของโลก ทำให้ฐานลูกค้าเดิมของ SVI มียอดสั่งออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เพิ่มขึ้น
ประกอบกับแผนลงทุนขยายฐานการผลิตที่ประเทศสโลวาเกีย 2 เท่าตัว จาก 6,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 11,000 ตารางเมตรซึ่งขยายแล้วเสร็จในปีที่ผ่านมา และประเทศกัมพูชาอีก 3 เท่าตัว หรือจาก 10,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 35,000 ตารางเมตรที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้ฐานการผลิตดังกล่าวสามารถรองรับกับออเดอร์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่เพิ่มขึ้น และรองรับลูกค้าใหม่ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้านภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 65 มีรายได้รวม 25,898 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ เติบโต 48.8% และมีกำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% ส่งผลให้อัตราการทำกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปรับตัวเพิ่มเป็น 0.82 บาทต่อหุ้น หลังจากในไตรมาส 4/65 (ต.ค.-ธ.ค.) บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,209 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท
ปัจจัยความสำเร็จของผลการดำเนินงานดังกล่าวมาจากฐานลูกค้าที่มีความแข็งแกร่งและศักยภาพการผลิตที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการผลิตและระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพของโรงงาน SVI ขณะที่ฐานการผลิตในประเทศไทย กัมพูชาและสโลวาเกีย ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และการดำเนินนโยบาย Zero Covid ของประเทศจีนซึ่งทำให้เกิด supply disruption อย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยใช้ความสามารถด้านการผลิตเข้าไปตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งไปจำหน่ายยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้อย่างเต็มที่