นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส (RS) กล่าวว่า ตั้งแต่ในปี 64 ที่ RS ได้เข้าลงทุนใน บมจ.เชฎฐ์ เอเชีย (CHASE) ได้ทำงานร่วมกันอย่างหนักเพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ร่วมกัน โดยเล็งเห็นว่าหลังจากเข้าระดมทุน IPO แล้วยังมีโอกาสทางธุรกิจระหว่าง CHASE และ RS ที่จะร่วมมือกันอีกมาก โดยมั่นใจศักยภาพของ CHASE ในฐานะผู้นำการให้บริการบริหารจัดการหนี้สินอย่างครบวงจร ผสานกับโมเดลธุรกิจ Entertainmerce ที่แข็งแกร่งของ RS จะทำให้เกิดการเติบโตร่วมกันในหลายมิติ อาทิ การยกระดับการให้บริการลูกค้า กลยุทธ์การทำตลาด การขยายฐานลูกค้า และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทาง RS จะคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 20.35% เพื่อเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Investment) ในระยะยาว นักลงทุนของ CHASE จึงสามารถมั่นใจได้ว่าหุ้นของ CHASE จะมีเสถียรภาพ จากการเติบโตของผลประกอบการหลัง IPO รวมถึงปริมาณ Free Float ของหุ้นที่จำกัด ประกอบกับหุ้นนอก Silent ทั้งหมดจำนวน 331 ล้านหุ้นเป็นของ RS ดังนั้น จะไม่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้น CHASE ออกมาในตลาดหลัง IPO
นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เชฎฐ์ เอเชีย (CHASE) กล่าวว่า ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ ตนเชื่อมั่นในการทำงานของคณะผู้บริหารและทีมงานว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้ CHASE ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ AMC ที่สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในช่วงน่าลงทุนซื้อหนี้มาบริหารเพิ่ม ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจขาขึ้นจะส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการเก็บหนี้มีมากขึ้น ด้วยปัจจัยหนุนต่างๆ จึงเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผลประกอบการสามารถโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
สำหรับการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นจุดเริ่มต้นในการปูรากฐานให้ CHASE ขยายธุรกิจได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งบริษัทฯ วางแผนที่จะขยายทั้งธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) และธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน (Collection) อย่างก้าวกระโดด ตั้งเป้าที่จะซื้อ NPLs ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสินทรัพย์ NPLs ในพอร์ต พร้อมขยายทีมเร่งรัดติดตามหนี้สินเพื่อรองรับความต้องการในการติดตามทวงถามหนี้ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในอนาคต