นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า ในปี 66 แม้ว่าเราจะยังคงเห็นภาวะเงินเฟ้อในทุกภูมิภาคทั่วโลกที่ TU ดำเนินธุรกิจอยู่ แต่เชื่ออย่างยิ่งว่าการมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนวินัยทางการเงิน และการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางธุรกิจ จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดย TU ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขาย 5-6% โดยประมาณ และเพิ่มงบลงทุนอยู่ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท
สำหรับปี 65 ที่ผ่านมา TU ยังขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุน 10 ล้านเหรียญแคนาดาในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากสาหร่ายที่มีการเพาะเลี้ยงขึ้นอย่างยั่งยืนของโลก
ขณะที่ผลงานในไตรมาส 4/65 มียอดขาย 39,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.9% และกำไรจากการดำเนินงาน 2,384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20.6% ส่งผลให้ยอดขายตลอดทั้งปี 65 เพิ่มขึ้น 10.3% อยู่ที่ 155,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรสุทธิประจำปี 65 อยู่ที่ระดับ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9%
ในปี 65 ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น 12.8% จากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียและสหรัฐอเมริกาที่มีการปล่อยสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตรงใจผู้บริโภค สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงทำผลงานได้ดี ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 48% จากปี 64 อยู่ที่ 21,693 ล้านบาท จากความต้องการอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงและราคาขายที่เพิ่มขึ้น
"ในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและยอดขายที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีความผันผวน ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นหัวใจสำคัญ ในขณะเดียวกันเราก็ยังต่อยอดธุรกิจให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เรายังคงพัฒนาธุรกิจเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริม และโปรตีนทางเลือก ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต"
ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมีบทบาทอย่างมากในยอดขายของบริษัทในปี 65 โดยมีสัดส่วนถึง 43% ของรายได้ทั้งหมด ตามมาด้วยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 36% ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 14% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 64 และธุรกิจเพิ่มมูลค่าและอื่นๆ อีก 7% ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมา โดย บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น งเป็นบริษัทในเครือ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของ TU ให้อยู่ที่ระดับ 0.54 เท่า ณ สิ้นปี 65 เปรียบเทียบกับปี 64 ที่อยู่ในระดับ 0.99 เท่า
นอกจากนี้ TU ยังมีธุรกิจกระจายตัวอยู่ทั่วโลก โดยสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาคมีดังนี้ สหรัฐอเมริกาและแคนาดาอยู่ที่ 44% ยุโรป 26% ประเทศไทย 11% และภูมิภาคอื่นๆ 19%