นางสุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล (HENG) เปิดเผยว่า ภาพรวมสินเชื่อปี 66 ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อไปประกอบอาชีพสอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
ในปีนี้ HENG ได้ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 14,400 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้พร้อมยึดแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคมและมีการบริหารงานภายใต้หลักบรรษัทภิบาลหรือ ESG โดยมุ่งหวังให้หุ้น HENG เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี้หุ้นยั่งยืน หรือ THSI จากการจัดอันดับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทุกช่วงสิ้นปี เป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนตามแนวทางของการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ
ส่วนภาพรวมการดำเนินงานในปี 65 บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 12,020 ล้านบาท หรือขยายตัว 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งความสำเร็จมาจากศักยภาพการให้บริการสินเชื่อ ตอบสนองความต้องการแหล่งเงินทุนของประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายหลังเปิดสาขาให้บริการครบ 678 แห่งได้ตามเป้าหมายทุกภูมิภาคของประเทศ ทำให้ HENG สามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง
พอร์ตสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีสัดส่วน 96% ของพอร์ตสินเชื่อรวม โดยแบ่งสัดส่วนตามประเภทสินเชื่อประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อคิดเป็นสัดส่วน 56% และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ 39% ของพอร์ตสินเชื่อที่มีหลักประกัน และส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นสินเชื่อที่มีบ้านและที่ดินเป็นหลักประกัน อีกทั้งรายได้จากค่านายหน้าประกันชีวิต และนายหน้าประกันวินาศภัยยังขยายโตโดดเด่นคิดจากปีก่อนถึง 88%
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวมทั้งปี 65 ทำได้ 2,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% และมีกำไรสุทธิ 461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้ออยู่ที่ 15% ใกล้เคียงกับกรอบกำหนดอัตราดอกเบี้ยของหน่วยงานภาครัฐ สะท้อนถึงความสามารถการทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
สำหรับแผนกลุทธ์ของบริษัทที่มุ่งรุกให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อเฉลี่ยโดยรวมทั้งปีอยู่ที่ 18% ประกอบกับการบริหารจัดการด้านคุณภาพลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนการตั้งสำรองลูกหนี้ปรับลดลงเหลือ 4.5% จากเดิม 5.9% และหนี้ NPLs ปรับลดลงเหลือ 3% จากเป้าหมาย 3.1% ซึ่งทำได้ดีกว่าเป้าหมาย