นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายปี 66 เติบโต 15% และ EBITDA โตเฉลี่ยต่อปี 4% จากธุรกิจโรงกลั่นสามารถเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต หลังปิดซ่อมบำรุงไปเมื่อปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น บริษัทจะรับรู้ผลการดำเนินงานของ บริษัท Allnex Holding GmbH (Allnex) เข้ามาเต็มปี โดยเชื่อว่าผลประกอบการAllnexปีนี้จะดีกว่าปีก่อน รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของ บมจ.วีนิไทย (VNT) เข้ามาต่อเนื่องด้วย หลังจาก PTTGC ถือหุ้นราว 35%
บริษัทคาดการณ์ว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เช่น อะโรเมติกส์, พอลิเมอร์ ดีกว่าปีก่อน สนับสนุนให้มาร์จิ้นแต่ละผลิตภัณฑ์ดีขึ้นตามไปด้วย เป็นไปตามทิศทางอุตสาหกรรมปลายทางที่ฟื้นตัวดีขึ้น เช่น ยานยนต์, สิ่งทอ, บรรจุภัณฑ์ และก่อสร้าง เป็นต้น
สำหรับงบลงทุนปีนี้วางไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ใช้รองรับการขยายการลงทุนตามแผน แบ่งเป็น
1. โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของ GC ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/66
2. โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนสายการผลิตที่ 4 (HMC PP Line 4) ของบริษัท HMC Polymers กำลังการผลิต 250,000 ตันต่อปี เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์เมื่อเดือน ธ.ค.65
3. โครงการก่อสร้างโรงงานไบโอพลาสติก PLA แห่งที่ 2 กำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ของบริษัท NatureWorks ที่จังหวัดนครสวรรค์ คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 67
4. โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ของบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) ที่ GC ร่วมทุนกับ บริษัท Kuraray และ บริษัท Sumitomo ของประเทศญี่ปุ่น เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/66 เพื่อผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T (PA-9T) จำนวน 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) จำนวน 16,000 ตันต่อปี นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อรองรับเมกะเทรนด์โลก
บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนในโครงการเม็ดพลาสติกรีไซเคิลในสหรัฐ และโครงการท่าเรือขนส่งก๊าซฯ ในสหรัฐ ทั้งในรูปแบบการซื้อกิจการ (M&A) และลงทุนด้วยตัวเอง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ โดยมองว่าการลงทุนในสหรัฐขณะนี้ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลก แต่อย่างไรก็ตามเงินลงทุนเพื่อการทำ M&A จะแยกออกมาอีกต่างหากจากเงินลงทุนตามแผนงานปกติ
นายคงกระพัน กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายลดการปลดปล่อยคาร์บอนในปี 73 ผ่านการดำเนินงานใน 3 เรื่อง ได้แก่
1. Efficiency-driven ดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานหลากหลายโครงการ เช่น โครงการอนุรักษ์พลังงาน โครงการ Maptaphut Integration (MTPi) โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น
2. Portfolio-driven เดินหน้าปรับสัดส่วนธุรกิจมุ่งสู่ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยการลงทุนในธุรกิจกลุ่ม High Value Business (HVB) และธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมแสวงหาโอกาสในการสร้าง Synergy (Leverage Synergy) ให้เกิดมูลค่าสูงสุดจากธุรกิจ ตลาด และเทคโนโลยี เช่น allnex ที่ PTTGC ได้เข้าซื้อกิจการ ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง และสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคภายใต้ Megatrends โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ HVP เพิ่มเป็น 56% ในปี 73 จากปีก่อน 36%, ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1 ล้านตัน และกำลังการผลิต Recycling เป็น 7.5 หมื่นตันในปี 68 ส่วนผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน Performance Chemical เป็น 35% ของ EBITDA รวมภายในปี 73 จากปัจจุบันอยู่ที่ 22%
3. Compensation-driven ดำเนินโครงการฟื้นฟูและเสริมสร้างสมดุลของระบบนิเวศของป่าร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคมรวมถึงชุมชนต่างๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 56 บนพื้นที่รวมกว่า 2,500 ไร่ อาทิ โครงการปลูกป่านิเวศระยองวนารมย์ จำนวน 80 ไร่ ตามหลักการ Eco Forest และสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) ในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ