นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายน้ำมันในปี 66 น่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อน ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยที่คาดว่าจะเติบโต 3.7% และความต้องการใช้น้ำมันอากาศยาน (Jet) ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีสถานการณ์โควิด อีกทั้งการท่องเที่ยวฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ ทำให้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมัน Jet น่าจะกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดได้ภายในสิ้นปีนี้ และจะเติบโตกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในปีถัดไป
ทั้งนี้ OR ถือว่ามีมาร์เก็ตแชร์ในส่วนของน้ำมัน Jet สูงเกือบ 50% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดราว 1,600 ล้านบาท ของมูลค่าตลาดรวม 3,200 ล้านบาท หากดีมานด์น้ำมัน Jet กลับมาเติบโตเหมือนในอดีต คาดจะส่งผลดีต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเบนซินและดีเซลก็มีแนวโน้มเติบโตได้ค่อนข้างดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของยอดขายน้ำมัน ยังขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบด้วย โดยทางกลุ่ม ปตท.ประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 80-87 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปี 65 เฉลี่ยอยู่ที่ 96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายดิษทัต ยังกล่าวถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR ว่า ในปีนี้คาดว่าจะยังคงเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ตามการขยายสาขาร้าน Cafe Amazon อย่างต่อเนื่อง และมุ่งสร้างการเติบโตให้กับทุกธุรกิจร่วมลงทุน โดยเฉพาะการนำพาร์ทเนอร์ไปขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับแผนการบริหารจัดการต้นทุนในปีนี้ เชื่อมั่นว่า OR จะทำได้ดีขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ในช่วงไตรมาส 4/65 ที่โรงกลั่นขนาดใหญ่ของไทยปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 2 โรงพร้อมกัน ทำให้มีการสต็อกน้ำมันล่วงหน้า 2 เดือน และยังมีประเด็นราคา LNG สูง ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้น รัฐบาลจึงได้ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเปลี่ยน LNG มาเป็นน้ำมัน ซึ่ง OR เป็นหนึ่งในผู้ที่จะต้องนำเข้าน้ำมันเพื่อให้ประชาชนมีต้นทุนของการใช้ไฟฟ้า และต้นทุนของโรงไฟฟ้าต่ำลง ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (One Time)
*ทุ่มกว่า 3.1 หมื่นลบ.ขยายธุรกิจ เดินหน้า M&A ต่อเนื่องกลุ่มอาหารเครื่องดื่ม-Health & Wellness-Tourism
นายดิษทัต กล่าวอีกว่า ในปี 66 บริษัทยังคงมุ่งมั่นสานต่อและผลักดันวิสัยทัศน์ "Empowering All toward Inclusive Growth" ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้เตรียมงบลงทุนจำนวน 31,197 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในปีนี้
บริษัทจะใช้งบลงทุนราว 14,193 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของงบลงทุนทั้งหมด เพื่อรองรับการขยายและสร้างความแข็งแกร่งของ Business Value Chain ของ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle แบ่งเป็น ขยายสาขา Cafe Amazon จำนวน 400 แห่ง, ร้าน TEXAS Chicken เพิ่มอีก 12 แห่ง รวมถึงมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการ (M&A) ต่อเนื่อง โดยสนใจทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B), ธุรกิจด้าน Health & Wellness และ Tourism ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และขนาดเล็ก เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ
ด้านกลุ่มธุรกิจ Mobility จัดสรรงบลงทุนราว 6,799 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22% มุ่งรักษาความเป็นผู้นำใน Mobility Ecosystem โดยจะขยาย PTT Station เพิ่มอีก 122 แห่ง จากปีก่อนอยู่ที่ 2,551 แห่ง และ EV Station PluZ เพิ่มอีก 500 จุด จากปีก่อนติดตั้งไปแล้ว 302 จุด และมีแผนติดตั้งโซลาร์รูฟสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 400 แห่งในสิ้นปีนี้
กลุ่มธุรกิจ Global มีงบลงทุน 4,954 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16% มุ่งขยาย PTT Station อีก 82 สถานีฯ และ Cafe Amazon เพิ่มอีก 112 แห่งผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในประเทศที่ OR ได้เข้าไปทำธุรกิจแล้ว พร้อมแสวงหาโอกาสลงทุนขยายสถานีบริการน้ำมันในประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกัมพูชา เนื่องจากยังไม่มีโรงกลั่นน่ำมัน ทำให้จำเป็นต้องนำเข้าน้ำมัน
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Innovation จัดงบลงทุน 5,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 17% มุ่งแสวงหาธุรกิจใหม่ต่อยอดธุรกิจเดิม โดยกำหนดหลักเกณฑ์ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรมในแบบฉบับของ OR เพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรสมัยใหม่ และทำให้เติบโตไปพร้อมกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในนวัตกรรมเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
"OR ยังให้ความสำคัญกับสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย S-SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก D-DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ G-GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด"นายดิษทัต กล่าว