CHASE ปิดเทรดวันแรกที่ 3.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+3.45%) จากราคา IPO ที่ 2.90 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,818.62 ล้านบาท จากราคาเปิด 3.52 บาท ราคาสูงสุด 3.58 บาท ราคาต่ำสุด 3.00 บาท
บล.กสิกรไทย ให้ราคาพื้นฐาน บมจ.เชฎฐ์ เอเชีย (CHASE) ที่ 3.8 บาท คิดเป็น PBV ที่ 2.1 เท่า สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มปี 66 โดยบริษัททำธุรกิจติดตามหนี้หนี้เสียด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้กว่า 20 ปี
ปัจจัยดังนี้ 1.)ผู้เชี่ยวชาญในการติดตามหนี้เสีย โดยเฉพาะในการบริหารหนี้สินที่ไม่มีหลักประกัน โดยมีประวัติที่ดีมามากกว่า 10 ปี ด้วยการจัดเก็บเงินสดที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับเงินลงทุนโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่ง การลงทุนใน NPL ส่วนใหญ่สามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 5 ปี บริษัทฯ ยังสามารถสร้างระดับค่าคอมมิชชั่นได้สูงกว่าคู่แข่งเช่นกันด้วย
2.) เราคาดจะรายงาน CAGR ของกำไรสุทธิที่ 30% ระหว่างปี 66-68 หนุนจากรายได้ที่มากขึ้นจากทั้งการให้บริการจัดเก็บหนี้สินและรายได้ดอกเบี้ยจากพอร์ต NPL และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากความประหยัดต่อขนาดที่ดีขึ้น
นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHASE กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปี 66 จะเติบโตมากกว่า 30% และรายได้เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเตรียมนำเงินทุนจากการระดมทุนไปต่อยอดการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าซื้อ NPLs ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เน้นสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ซึ่งอยู่ในความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ โดยขณะนี้ได้เริ่มเข้าไปประมูลซื้อ NPLs จากสถาบันการเงินชั้นนำแล้ว และเตรียมขยายบริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นสู่กลุ่มผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank)
ขณะที่นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส (RS) กล่าวว่า อาร์เอส กรุ๊ป จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 20.35% ในระยะยาวในฐานะ Strategic Shareholder ด้วยเล็งเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในการเติบโตในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ก็มีการทำงานร่วมกันเพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ร่วมกัน และในครั้งนี้ อาร์เอส กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการสร้างพันธมิตรร่วมกับ CHASE ในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจต่างๆ รวมถึงการทำ Joint Venture เพื่อร่วมกันผสานศักยภาพและสร้างการเติบโตร่วมกัน