นายชินดนัย ไชยยอง กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย (AMARC) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 66 เชื่อว่ามีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% คาดว่ารายได้จะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับการเติบโตในช่วงก่อนการระบาดของโควิด หลังมีการเปิดประเทศ หนุนการส่งออก การท่องเที่ยวคึกคัก ทำให้มีการลงทุนช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว ส่งผลดีต่อ AMARC ในฐานะศูนย์แล็ปมาตรฐานสากล สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนให้ความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรของ AMARC สูงขึ้น
และภายหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมและมีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น สามารถลงทุนในเครื่องมือวิทยาศาสตร์ และทีมบุคลากรรองรับงานโครงการขนาดใหญ่ และการขยายตัวในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการสร้างรายได้ และกำไรในอนาคตให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
"บริษัทฯ มั่นใจว่าภาพรวมอุตสาหกรรมยังขยายตัวได้อีกมาก โดยจะนำจุดเด่นของ AMARC ที่โดดเด่นในด้านความมั่นคงและชื่อเสียงจากการเป็นผู้ให้บริการทางวิทยาศาสตร์มายาวนานกว่า 19 ปี มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยทำให้สินค้าเกษตรและอาหารของประเทศไทยได้รับการควบคุมคุณภาพ เพื่อร่วมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ วางกลยุทธ์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการทดสอบ ตรวจสอบ และรับรอง แบบ Comprehensive Supply Chain Service สำหรับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ทำให้บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจในการเป็นผู้ให้บริการจากลูกค้า" นายชินดนัย กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 65 บริษัทฯ มีรายได้จากการบริการรวม 263.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตในกลุ่มบริการตรวจวิเคราะห์ และบริการสอบเทียบ ในส่วนของบริการตรวจสอบและรับรองระบบมีรายได้ลดลง โดยภาพรวมรายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัว งบประมาณจากภาครัฐลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ ทำให้เติบโตได้น้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา
กำไรสุทธิสำหรับปี 65 อยู่ที่ 14.52 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 41.6% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากผลประกอบการธุรกิจปกติ บริษัทจะมีกำไรสุทธิสำหรับปีดำเนินงานก่อนค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะเหตุการณ์ (One time) จำนวน 21.80 ล้านบาท โดยมีอัตราการทำกำไรสุทธิ 8.3% ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนบริการและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และภาพรวมการเติบโตของธุรกิจที่ยังชะลอตัว
"ในปี 65 บริษัทมีกำไรขั้นต้น 105.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ด้วยผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาสารเคมีและวัสดุสิ้นเปลือง การเพิ่มจำนวนนักวิทยาศาสตร์เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการขยายงานตามแผนดำเนินการ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมราคาจากทรัพย์สินประกอบการที่ลงทุนมากขึ้น ในขณะที่รายได้ยังไม่เติบโตมาก Economy of Scale จึงลดลง" นายชินดนัย กล่าว