นางสาวมินตรา มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เกียรติธนาขนส่ง (KIAT) เปิดเผยว่า ในปี 66 ตั้งเป้าการดำเนินธุรกิจภาพรวมให้มีรายได้เติบโตรวมกว่า 15% โดยบริษัทมีแผนขยายการให้บริการขนส่งไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยคาดการณ์รายได้ด้านธุรกิจขนส่งจะเติบโตกว่า 11% รวมถึงลุยขยายธุรกิจขนส่งการเคมีไทยที่ให้บริการแบบครบวงจร จากเดิมที่ขนส่งจากไทยสู่ลาว ผ่านเส้นทางรถไฟ เราเตรียมขยายการให้บริการไปยังเมียนมาร์และกัมพูชา เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตจากจำนวนผู้ประกอบการโรงงานเคมีที่ทยอยเปิดกิจการเพิ่มมากขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19
จากปัจจัยสนับสนุนการเติบโตดังกล่าว ประกอบกับการได้รับความเชื่อมั่นในการให้บริการของ KIAT ที่ยึดความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยมีระบบความปลอดภัยที่มีมาตรฐานระดับสากล รวมถึงความเชี่ยวชาญและศักยภาพในการรับมือและการควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อเกิดเหตุระหว่างการขนส่ง นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยดำเนินงานด้วยประสบการณ์มากว่า 10 ปี มีความเข้าใจลูกค้า ตอบความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี พร้อมทีมช่างมากประสบการณ์กว่า 30 ปี มั่นใจปี 2566 จะสามารถดำเนินกิจการได้ตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี ของการผู้นำในการให้บริการด้านการขนส่งวัตถุอันตรายและสินค้าพิเศษ ที่เน้นความปลอดภัยสูง ปัจจุบัน KIAT มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ให้บริการขนส่งทั้งสิ้นกว่า 300 คัน และให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรชั้นนำระดับประเทศมากมาย ภายใต้การบริหารจัดการขนส่งที่ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และยังคงเดินหน้ารักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยสูงสุด โดยมีการจัดซ้อมการรับมือการเกิดเหตุระหว่างขนส่งเป็นประจำทุกปี ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ได้รับมาตรฐานสากล
สำหรับผลประกอบการในปี 65 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม881.8 ล้านบาท เติบโต 17.2% หรือ 129.5 ล้านบาท มีกำไรรวม 90.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.7% หรือ 10.8 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา โดยรายได้ 73.7% มาจากบริการขนส่งวัตถุอันตรายและสินค้าพิเศษที่ KIAT มีความเชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ และรายได้จากธุรกิจขายเคมีภัณฑ์ 19.0%
ส่วนอีก 7.3% มาจากธุรกิจการติดตั้ง Guardian System ระบบป้องกันการหลับในและการละสายตาขณะขับขี่ และบริการ "สิบล้อลีสซิ่ง" สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของ KGP ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มธุรกิจของ KIAT ซึ่งได้เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 65 มูลค่ารวม 18.2 ล้านบาท