นายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช (PQS) เปิดเผยว่า บริษัทรายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.65) มีรายได้รวม 2,532.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.36% จากปี 64 มีรายได้รวม 2,254.03 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 283.65 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน
สำหรับปี 65 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าแป้งมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจำนวน 267.50 ล้านบาท คิดเป็น 12.30% จากปีก่อนหน้า ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณการขายแป้งมันสำปะหลังใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า และราคาขายเฉลี่ยเท่ากับ 15.83 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 13.32 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มราคาตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 65
ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเท่ากับ 38.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.07 ล้านบาท คิดเป็น 35.45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจำนวน 0.40 ล้านเมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) และการเพิ่มขึ้นของราคาขายไฟต่อหน่วยที่จำหน่ายให้กับการไฟฟ้าตามราคากลางที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้อื่นๆ ที่ประกอบด้วยรายได้จากการขายเศษวัสดุ รายได้ดอกเบี้ยรับ มีจำนวน 51.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.99 ล้านบาท คิดเป็น 1.94% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้จากการขายเศษวัสดุให้บุคคลภายนอกเพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น
ด้านต้นทุนขายสินค้าและไฟฟ้าในปี 65 อยู่ที่ 1,923.65 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนต้นทุนขายสินค้าต่อรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 78.77% เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายสินค้าของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนต้นทุนขายสินค้าต่อรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 64 ส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบหัวมันสำปะหลังที่คงตัวในระดับสูง ในขณะที่ราคาขายมีความผันผวนสูงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะช่วงปลายปี
ส่วนต้นทุนขายไฟฟ้าในปี 65 เท่ากับ 15.40 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนต้นทุนขายไฟฟ้าต่อรายได้จากการขายไฟฟ้า เท่ากับ 40.02% ซึ่งมีสัดส่วนต้นทุนขายไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับปี 64 ที่มีอัตราส่วนต้นทุนขายไฟฟ้าต่อรายได้จากการขายไฟฟ้า เท่ากับ 50.53% โดยมีสาเหตุจากสัดส่วนของค่าเสื่อมราคาต่อรายได้จากการขายลดลง รวมทั้งค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงที่ลดลง
"ในปี 65 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายลดลงเมื่อเทียบกับปี 64 เป็นไปตามปริมาณการขายที่ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งบริษัทยังคงสามารถบริหารค่าใช้จ่ายในการขายได้ดีถึงแม้จะมีความผันผวนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่วนตัวเลขกำไรขั้นต้นเท่ากับ 518.48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.47% โดยอัตรากำไรขั้นต้นของแป้งมันสำปะหลังได้รับแรงกดดันมาจากผลพวงราคาวัตถุดิบหัวมันสำปะหลัง ที่ยังคงตัวในระดับสูง ในขณะที่ราคาขายมีความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะช่วงปลายปี สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของการขายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ปี 65 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 49.47% ในปี 64 เป็น 59.98% ในปี 65 เนื่องจากต้นทุนการผลิตเช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าซ่อมบำรุง และอื่นๆ มีสัดส่วนต้นทุนลดลง" นายรัฐวิรุฬห์ กล่าว