นายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ (SCM) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทจะเร่งเดินหน้าตอกย้ำยุทธศาสตร์การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเครือข่ายขายตรง (Multi-level Marketing หรือ"MLM) ประกาศเป้าหมายยอดขายราว 1,350 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายผ่านนักธุรกิจในประเทศ 1,200 ล้านบาท และรายได้จากการขายส่งออกไปยังตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ 150 ล้านบาท พร้อมรุกขยายตลาดดิจิทัลเต็มกำลัง
ตลอด10 ปีเต็มของ SCM เรามุ่งหาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดรับภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยได้ปรับช่องทางการขายด้วยการทำกลยุทธ์ทางการตลาดให้ครบทุกฟังชั่นก์โดยเน้นกลุ่มผู้บริโภครายใหม่ที่ใส่ใจในการดูแลสุขภาพ และเมื่อปลายปี 65 เขย่าวงการ MLM ส่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ Nutrinal (นิวทรินัล) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร S.O.D MORE ที่ได้ มาริโอ้ เมาเร่อ มาสร้างกระแสคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและเป็นไอคอนนิกบุคคลมีชื่อเสียงที่สะท้อนถึง HERO BRAND ตรงตามกลยุทธ์ของ SCM
และในช่วงที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาและออกสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้า และล่าสุดกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตรแบรนด์ GROWING MORE เปิดตัวปุ๋ยธาตุอาหารหลักพืช ทรานส์ฟอร์ม เอ็น พี เค (Transform N-P-K) ชนิดน้ำ สูตร 20-6-6 และ 6-6-20 ทางเลือกเพื่อเกษตรกรไปเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเกษตรกรเป็นอย่างดี
บริษัทมีแนวทางการทำงาน 2 ข้อหลัก ได้แก่
1.) คุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ ๆ เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีและถูกใจผู้บริโภค ทั้งยังพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Product Portfolio ครอบคลุมทุกความต้องการดูแลสุขภาพของลูกค้า โดยผลิตภัณฑ์ปัจจุบันมีกว่า 70 รายการ แบ่งเป็น 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง กลุ่มผลิตภัณฑ์ใช้ในชีวิตประจำวัน กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทันสมัย และ กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน โดยในจำนวนนี้ 26 รายการ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
2.) การพัฒนาบุคลากรให้มี Skill รอบด้าน พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลง ด้วยจุดแข็งของซัคเซสมอร์ คือ การมีฐานสมาชิกที่เหนียวแน่น ประกอบกับการมีระบบการพัฒนาคนให้มีทักษะรอบด้าน ทั้ง Mindset, Skillset และภาวะผู้นำ จึงทำให้สมาชิกสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และมีความผูกพันกับบริษัท ส่งผลให้ในปัจจุบันซัคเซสมอร์มีฐานสมาชิกกว่า 184,000 ราย แบ่งเป็นสมาชิกในไทย 130,000 ราย และสมาชิกในต่างประเทศ 54,000 ราย
นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCM กล่าวว่า สำหรับปี 66 บริษัทฉลองครบรอบ 10 ปี และเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 ที่ผ่านมาบริษัท ได้มุ่งมั่นปั้นแบรนด์ให้เติบโตและครองความเป็น Top of Mind ในใจผู้บริโภคบนสมรภูมิธุรกิจขายตรง ภายใต้ธีม THE INFINITE GAME "เกมที่ไร้ขอบเขต" ผ่านการขับเคลื่อนด้วย 4 กลยุทธ์หลัก คือ
1.) ขยายฐานสมาชิก บริษัทวางเป้าขยายฐานสมาชิกในประเทศไทย แตะระดับ 180,000 ราย จากปัจจุบัน 130,000 ราย ซึ่งหากรวมสมาชิกที่อยู่ในต่างประเทศที่ตั้งเป้าว่าจะขยายไปสู่ 70,000 ราย จากปัจจุบัน 54,000 ราย จะทำให้ฐานสมาชิกรวมขยายไปแตะระดับ 250,000 ราย
2.) สร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ ยกระดับพลังแบรนด์องค์กรและสินค้าให้สามารถขยายกลุ่มเป้าหมายและสร้างแบรนด์เลิฟเวอร์ โดยสร้าง Hero Brand
3.) ยกระดับมาตรฐานระบบงานและคน สร้างต้นแบบนักธุรกิจซัคเซสมอร์ที่ประสบความสำเร็จ และพัฒนาทีมประจำภูมิภาคให้ได้ 10-15 ทีม เพื่อการสร้างการรับรู้แบรนด์และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคให้มากขึ้น
4.) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า การบริหารจัดการประสบการณ์ที่ดีต่อแบรนด์ของลูกค้า
บริษัทวางกรอบงบลงทุนปีนี้เพื่อพัฒนาเครื่องมือ ระบบ Offline และ Online ทั้ง Application Website และ Platform Social ครบครัน เพื่อสร้างช่องทางการขายและโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิก พร้อมปรับแผนนโยบายองค์กรมุ่งเน้นการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์พร้อมเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และผลักดันให้แบรนด์ "ซัคเซสมอร์" ขึ้นแท่น Top of Mind ในปี 66
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 65 บริษัทมีรายได้รวม 1,180 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น รายได้จากการขายสินค้าผ่านนักธุรกิจในประเทศ 1,058 ล้านบาท รายได้จากการขายส่งออกไปยังตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ 60 ล้านบาท รายได้จากการบริการ 5 ล้านบาท และรายได้อื่น เช่น รายได้จากการใช้ตราสารสินค้า และรายได้จากการสมัครสมาชิก รวม 57 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 170.7 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าบริหารค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในบริหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการมองหาช่องทางและโอกาสในการขยายธุรกิจ รวมถึงโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 นี้ ตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศฟิลิปปินส์จะเริ่มเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะช่วยทำให้ยอดขายส่งออกของบริษัทฯ เติบโตมากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ทีมบริหาร ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาโอกาสในการสร้าง Ecosystem ของสินค้าเพื่อการเกษตรของบริษัทฯ ให้มีความครบวงจรมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปีที่จะถึงนี้