นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟลอยด์ (FLOYD) กล่าวว่า ภาพรวมปี 66 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตที่ต่อเนื่อง FLOYD มีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ มองว่าบรรยากาศการลงทุนเริ่มดีขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ
ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ อาคารมิกซ์ยูส และห้างสรรพสินค้าและค้าปลีก ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ โดยบริษัทอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีกหลายงาน เป็นงานของลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับงานสูง
"บริษัทมองว่าหลังรัฐบาลเปิดประเทศ เชื่อว่าจะเป็นสัญญาณเชิงบวก และธุรกิจของ FLOYD อิงกับระบบสาธารณูปโภค ถือเป็นปัจจัยบวกของบริษัทฯ ที่ดีให้กลับมาคึกคักได้เหมือนเคย โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบแบบครบวงจร ที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็วด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ" นายทศพร กล่าว
นอกจากนี้ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทฯมีการปรับปรุงการทำงาน และควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมา บวกกับได้แรงหนุนหลักจากรายได้ที่ฟื้นตัวจากการรับรู้รายได้จากงานใน Backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และคาดว่าจะมีงานประมูลใหม่ที่เพิ่มขึ้น จากอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นตัว สนับสนุนให้งานก่อสร้างฟื้นตัวในทิศทางเดียวกัน โดยรายได้ของบริษัทยังมาจากงานภาคเอกชน
สำหรับผลประกอบการในงวดปี 65 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 310.21 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 66.99 ล้านบาท หรือ 17.76% จาก 377.20 ล้านบาท แต่มีกำไรสุทธิ 24.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.71 ล้านบาท หรือ 349.07% เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.36 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 65 จากการที่ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ชะลอเปิดโครงการใหม่เริ่มกลับมาเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง
"บริษัทมีต้นทุนบริการจำนวน 219.51 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 108.20 ล้านบาท คิดเป็น 33.02% ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง และมีกำไรขั้นต้น 90.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 41.21 ล้านบาท หรือ 83.27% แม้ว่าบริษัทฯจะเจอการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น สาเหตุที่กำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาจากการที่บริษัทฯสามารถบริหารต้นทุนงานก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้กำไรขั้นต้นในปี 65 สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแม้จะมีรายได้ลดลงก็ตาม" นายทศพร กล่าว