BANPUบวก 1.83%โบรกฯเผยผู้บริหารเชื่อได้ปย.อินโดฯลดพื้นที่สัมปทานเหมือง

          หุ้น BANPU ราคาวิ่งขึ้น 1.83% มาอยู่ที่ 444.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 374.61 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.06 น. โดยเปิดตลาดที่ 444.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 444.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 436.00 บาท
          บทวิเคราะห์ของ บล.ฟิลลิป ระบุว่า จากรายงานข่าวที่ว่าทางการอินโดนีเซียจะจำกัดพื้นที่การสำรวจสำหรับบริษัทเหมืองแร่ถ่านหินไม่เกินบริษัทละ 50,000 เฮคเตอร์ และจำกัดพื้นที่การทำประโยชน์ไม่เกินบริษัทละ 15,000 เฮคเตอร์ คาดว่ารัฐสภาจะให้การรับรองร่างกฎหมายภายในเดือนสิงหาคมปีนี้นั้น ข้อมูลที่ได้จากผู้บริหารนั้นมองว่าไม่กระทบกับ BANPU 
          เนื่องจากเหมืองที่ทำการผลิตอยู่ในปัจจุบันมีสัญญาสัมปทานอยู่แล้ว แต่กฎหมายที่จะออกคาดว่าจะใช้กับผู้ที่จะขอทำเหมืองใหม่ๆ ทั้งนี้ เพราะในอดีตมีผู้ขอสัมปทานในพื้นที่ที่ใหญ่มากแต่ไม่ได้มีการผลิต ซึ่งทางรัฐมองว่าเป็นการสูญเสียรายได้ และไม่ได้ก่อประโยชน์ให้ภาครัฐ จึงคาดว่าจะมีการเรียกกลับคืนสัมปทานในแหล่งที่ไม่ได้ทำการผลิต จากนั้นจะมีการจัดสรรใหม่แต่ขนาดและพื้นที่คงเล็กลง 
          ทาง BANPU กลับมองว่าจะเป็นโอกาสที่จะเข้าไปประมูลได้มากขึ้นและในการขอทำเหมืองแต่ละเหมืองก็จะตั้งเป็นบริษัทของแหล่งนั้นๆ ในการเข้าประมูลซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ขอสัมปทานเดิม
          ขณะที่คาดว่า ราคาถ่านหิน (Spot price)ยังสูงในช่วง 4 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ US$ 116.81 ต่อตัน ปรับเพิ่มขึ้น 80% จากราคาเฉลี่ยปี 2550 ที่ US$64.87 ต่อตัน  และคาดการณ์ 1Q51 มีกำไรสุทธิ 1,990.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.78%YoY และ 0.42%QoQ ส่วนทั้งปี 2551 น่าจะมีกำไรสุทธิ 8,328.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.17%YoY 
          บล.ฟิลลิป จึงยังคงแนะ"ซื้อ"หุ้น BANPU ที่ราคาเป้าหมาย 521 บาท/หุ้น
          ขณะที่ บล.กสิกรไทย ระบุว่า ข่าวนี้ไม่ถือเป็นปัจจัยลบสำหรับ BANPU เพราะข้อบังคับดังกล่าวจะบังคับใช้สำหรับสัมปทานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยไม่มีผลบังคับใช้กับผู้ประกอบการที่ได้รับสัมปทานไปแล้ว 
          ดังนั้น จึงคงคำแนะนำ BUY โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 514 บาทต่อหุ้น
          อีกทั้งผู้บริหารของ BANPU เห็นว่าข้อบังคับดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับสัมปทานมากขึ้น เช่นในกรณีที่พื้นที่ทำเหมืองถ่านหินมีขนาด 70,000 เฮกเตอร์ รัฐบาลอินโดนีเซียก็จะต้องแบ่งพื้นที่ดังกล่าวออกเป็นสองโครงการ แทนที่จะให้สัมปทานพื้นที่ทั้งหมดแก่ผู้ประกอบการเพียงรายใดรายหนึ่ง