นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค (KJL) เปิดเผยว่า บริษัทปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจด้วกยารเร่งขยายกำลังการผลิตเร็วขึ้นกว่าแผนเดิมหลังจากเห็นสัญญาณความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม โดยวางงบลงทุนต่อเนื่องในช่วง 3 ปีนี้ราว 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังผลิตเท่าตัวสู่ระดับ 40 ล้านชิ้นภายในปี 68 จากปัจจุบัน 20 ล้านชิ้น โดยมีเป้าหมายใหญ่ที่จะผลักดันรายได้และกำไรเติบโตขึ้น 2 เท่าตัวภายในปี 67
บริษัทตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิด "KJL Everywhere เราอยู่ทุกที่ที่มีไฟฟ้า" ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรม IT และ Data Center รวมถึง เทคโนโลยี IOT ที่จะตอบสนองธุรกิจ และการต่อยอดธุรกิจสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต โดยมีแผนจะนำเสนอสินค้าให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม รวมถึงใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตด้วย Digital Industry 4.0 เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในภาคการผลิต ศึกษาการใช้วัตถุดิบการผลิตใหม่ๆ ขยายพื้นที่คลังสินค้า ปรับปรุงระบบโลจิสตติกส์เพื่อเพิ่ม capacity อีก 20%
แผนรองรับการเติบโตนั้น นอกเหนือจากการขยายกำลังการผลิต คือการขยายตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายสมาชิกในกลุ่มกลุ่มผู้รับเหมาและข่างไฟฟ้า คือ "รวมพลคนไฟฟ้า" เพื่อช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ KJL และช่วยผลักดันยอดขายผ่านคำแนะนำของเครือข่ายสมาชิก โดยมีเป้าหมายยอดสมาชิก 5,000 รายในปีแรก และจะขยายเพิ่มเป็น 3 เท่าตัวคือ 15,000 รายภายในปี 68
พร้อมกันนั้น บริษัทจะเดินหน้าแผนงานลดต้นทุนลงโดยจะติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคาดโรงงานภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วยงบลงทุนราว 25 ล้านบาท เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยคาดว่าจะมีระยะคืนทุนราว 3.5-4 ปี ภายใต้ IRR ในระดับ 21.6-27.1% พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องจักรประสิทธิภาพสูงเพื่อลดการพึ่งพิงแรงงานคน
นายเกษมสันต์ กล่าวว่า บริษัทมองทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องดังกล่าว หลังจากผลประกอบการในปี 65 สามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยบริษัทมีรายได้รวม 1,026.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.38% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 845.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 131.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.97% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 94.04 ล้านบาท
รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดขายสินค้ามาตรฐาน KJL ประกอบไปด้วยตู้สวิทซ์บอร์ด รางเดินสายไฟ และกล่องพูลบ๊อกซ์ ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 171.10 ล้านบาท ตามการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจ และการขยายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC รวมถึงรายได้จากการขายสินค้าสั่งผลิต หรือ MTO ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 35.64 ล้านบาท และรายได้จากการขายเศษเหล็กที่เพิ่มขึ้นจำนวน 5.68 ล้านบาท ตามยอดขายสินค้ามาตรฐานเคเจแอลที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามราคาต้นทุนวัตถุดิบหลัก รวมถึงบริษัทฯมีการใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องเจาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องพับ และหุ่นยนต์พับอัตโนมัติ เป็นต้น ทำให้บริษัทมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงานฝ่ายผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯปรับสูงขึ้นเป็น 28.62% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.46% และอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯปรับสูงขึ้นเป็น 12.83% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.12%
"ในปี 65 ที่ผ่านมาผลประกอบการของเราเติบโตได้จากยอดขายสินค้ามาตรฐาน และสินค้าสั่งผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ถือว่าเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนสูงที่สุดของบริษัทฯ ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า(EV) และพลังงานทดแทน รวมถึงการขยายการลงทุนใน EEC ของภาครัฐและเอกชน ยังเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการสินค้าของเราเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปีก่อนต่อเนื่องจนถึงปีนี้ และที่สำคัญเรายังใช้เทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถควบคุมต้นทุน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในกระบวนการผลิตอีกด้วย" นายเกษมสันต์กล่าว