นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริทาเนีย (BRI) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 66-68) จะผลักดันรายได้ขึ้นไปแตะ 2 หมื่นล้านบาทภายในปี 66 พร้อมทั้งตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีมูลค่าการพัฒนาโครงการอยู่ใน Top5 จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 9 พร้อมขยาย Segment แบรนด์บ้านหรูของ BRI ให้ไปสู่ฐานลูกค้าระดับบนมากขึ้น ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาโครงการและแบรนด์ระดับ Super Luxury และ Ultra Luxury เพิ่มเข้ามา เพื่อขยายฐานลูกค้าและปิดช่องว่างทางการตลาด ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อที่สูง
กลยุทธ์ของบริษัทในการสร้างการเติบโตนอกเหนือจากการพัฒนาโครงการเองแล้ว ยังมีการพัฒนาโครงการ่วมกับพันธมิตรของบริษัทผ่านการร่วมทุน ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการจากต่างชาติ และพันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผลักดันให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรให้เติบโตต่อเนื่องได้ และเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทจะดำเนินควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการแนวราบเอง
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่สนใจร่วมทุนกับบริษัทในการพัฒนาโครงการแนวราบอยู่ 2-3 ดีล และพันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน 3-4 ดีล ซึ่งจะมีความชัดเจนของดีลออกมาภายในปีนี้ โดยที่ในปี 66 บริษัทมีการพัฒนาโครงการที่เป็นโครงการร่วมทุนทั้งหมด 3 โครงการร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการจากต่างชาติ คือ ES CON JAPAN และพันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน 2 ราย ในทำเลสุขุมวิท 76 และระยอง
นอกจากนี้บริษัทมองถึงการขยายตลาดไปในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยที่ศึกษาในจังหวัดที่มีศักยภาพที่บริษัทต้องการขยายออกไป เช่น นครราชสีมา อุดรธานี ซึ่งเป็นทำเลที่บริษัทได้มีการศึกษาและมองหาพันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดินในการร่วมกันพัฒนาโครงการ อีกทั้งหัวเมืองท่องเที่ยวที่นิยมก็มีการศึกษาในการพัฒนาโครงการในรูปแบบร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน เช่น เขาใหญ่
ขณะเดียวกันการขยายไปต่างจังหวัดจากการพัฒนาโครงการด้วยตัวเอง จะเริ่มมองหาโอกาสพัฒนาโครงการแนวราบในจังหวัดท่องเที่ยว และหัวเมืองที่เป็นแหล่งงานสำคัญ เช่น ภูเก็ต ซึ่งจะมีการพัฒนาโครงการแนวราบบนที่ขนาดใหญ่ของกลุ่มออริจิ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมรูปแบบในการพัฒนา และเชียงใหม่ อยู่ระหว่างมองหาซื้อที่ดิน โดยวางงบซื้อที่ดินในปี 66 ราว 5 พันล้านบาท
นายสุรินทร์ กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจบ้านแนวราบในปี 66 จะรุนแรง โดยเฉพาะตลาดบ้านหรูระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด และผู้ประกอบการนอกตลาดต่างเข้ามาพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก แต่บริษัทมองเห็นโอกาสของทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของกลุ่มคนระดับกลางเริ่มค่อยๆฟื้นขึ้นมา ทำให้การพัฒนาโครงการในปีนีจะเน้นไปที่กลุ่มบ้านที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางมากขึ้น ได้แก่ แบรนด์ Briton ระดับราคา 3-5 ล้านบาท และแบรนด์ Britania ระดับราคา 5-8 ล้านบาท