นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที.เค.เอส. เทคโนโลยี (TKS) กล่าวถึงทิศทางการเติบโตทางธุรกิจในปี 66 ว่า คาดว่ารายได้จะเติบโต 10% โดยบริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ "Tech Ecosystem Builder" ซึ่งจะเดินหน้ากลยุทธ์ในการขยายการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี (Tech) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีการเจรจาหลายราย ซึ่งจะเข้ามาต่อยอดอีโคซิสเต็มของบริษัทฯ ในด้านเทคโนโลยีได้
ล่าสุด TKS ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT จำนวน 280 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 21.03% มูลค่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับที่ถืออยู่เดิมจะถือหุ้นใน AIT ที่ 22.48% นอกจากนี้หากนับรวมการแปลง AIT-W2 จะมีสัดส่วนถือหุ้น AIT เป็นประมาณ 24% ดีลดังกล่าวที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา และคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะแล้วเสร็จในเดือนพ.ค.66 นี้
"ปี 66 เชื่อว่ายังเห็นการเติบโตที่ดีของ TKS แม้จะมียอดขายบางส่วนลดลง แต่บางกลุ่มก็เพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่ารายได้จะเติบโตได้ราว 10% ซึ่งยังเดินหน้าในการขยายการลงทุนใหม่ๆ ตามกลยุทธ์การเป็น Tech Ecosystem Builder ที่ผ่านมาได้สร้าง Ecosystem ไว้จำนวนมาก ซึ่งการมีธุรกิจใหม่ยิ่งเข้ามาช่วยเสริม ดังนั้นน่าจะเห็นการลงทุนใหม่ๆ ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีการรับรู้กำไรจากส่วน Non-printing ประมาณ 70% " นายจุติพันธุ์ กล่าว
ส่วนธุรกิจเดิมด้านการพิมพ์ มีการวางรากฐานอย่างแข็งแกร่ง ผลประกอบการยังรักษาระดับได้ และในปีนี้หากมีการเลือกตั้ง บริษัทฯ มีโอกาสที่จะได้รับงานพิมพ์บัตรเลือกตั้งด้วย ซึ่งการเลือกตั้งในปีนี้ใช้ 2 ใบจะยิ่งช่วยหนุนการเติบโตในส่วนธุรกิจหากได้รับงานดังกล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยในปี 2565 (1 ม.ค.-31ธ.ค.2565) มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 167.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 84.8 จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 90.4 ล้านบาท มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 1,581.8 ล้านบาท ลดลง 135.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.9 จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,717.4 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการลดลงของยอดขายกลุ่มธุรกิจบัตรพลาสติกจากการที่บริษัทฯ ได้ขายกลุ่มธุรกิจดังกล่าวออกไปในไตรมาส 3/2564 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การลดลงดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนด้วยรายได้ของกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Business) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า โดยบริษัทยังสามารถบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 30.4 เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 28.5
"ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรเป็นผลจากการเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 167.1 ล้านบาท เป็นผลจากการบริหารต้นทุนการผลิตและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและการค้าร่วมเพิ่มขึ้น 23.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.4 " นายจุติพันธุ์ กล่าว
และล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท หรือเทียบเท่า เพื่อรองรับความต้องการในการใช้เงินทุนของบริษัทจากแหล่งเงินทุนทางเลือกและเสริมความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน และการลงทุนในอนาคตของบริษัท