นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 66 จะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังรุกฐานตลาดเพิ่ม และสิ่งสำคัญคือ SCN ยังคงตั้งวิสัยทัศน์มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ด้วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจบนความยั่งยืน พร้อมกับมองหาโอกาสตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ
ผลการดำเนินงานประจำปี 65 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธินิวไฮ 346 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 400% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สวนทางกับวิกฤติการณ์ระบาดของไวรัส COVID-19 และภาวะเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก โดยมีรายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาส 4/65 อยู่ที่ 386 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% ทำให้ทั้งปี 65 บริษัท มีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 1,400 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 569 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 81%
"บริษัทยังคงมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น แม้จะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่ธุรกิจพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญต่อมนุษย์ ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมาก และสามารถคว้ากำไรได้ ปัจจัยสำคัญมาจากการที่บริษัทได้ขยาย และปรับเปลี่ยนโครงสร้างของธุรกิจ เพื่อพร้อมต่อการเติบโตในอนาคต และมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาตามแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยที่ได้ให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียน เพื่อสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน" นายฤทธี กล่าว
นอกจากรายได้จากการขายและบริการแล้ว บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโต โดยมีรายได้อยู่ที่ 867 ล้านบาท ในส่วนธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และซ่อมบำรุงรถโดยสารปรับอากาศ มีรายได้อยู่ที่ 162 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 73 ล้านบาท นอกจากนี้สำหรับธุรกิจขนส่งและอื่นๆ มีรายได้อยู่ที่ 297 ล้านบาท
ทั้งนี้ในส่วนของรายได้อื่นๆ ของปี 65 อยู่ที่ 111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% สาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทในเครือกู้ยืม และรายได้อื่นๆ ในไตรมาส 4/65 เท่ากับ 41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% เนื่องมาจากมีการรับรับรู้มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน สำหรับสิทธิในการขายหุ้นคืน (Options) รวมถึงการได้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 49 ล้านบาท
นายฤทธี กล่าวถึงความสำเร็จในปี 65 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จับมือกับ 2 บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ จากประเทศญี่ปุ่น ตอกย้ำความแข็งแกร่งธุรกิจ iCNG และสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานก๊าซธรรมชาติของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ และมีผลงานจากโครงการซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก 6 โครงการ รวมมีกำลังการผลิตในมือ 24 เมกะวัตต์ และโกยกำไรจากอัตราค่าไฟฟ้า (Ft) ที่เพิ่มขึ้น 6,621.6 %
นอกจากนี้ยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา COD เพิ่มอีก 6 โครงการ ทำให้ปัจจุบัน COD ไปแล้วรวม 24 โครงการ 18 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตในมือทั้งหมดกว่า 24 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ SCN ยังโกยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากอัตราค่ำไฟฟ้า (Ft) ที่สูงขึ้นถึง 6,621.6 %
อีกทั้งในเครือ บริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีโครงการ Private PPA ทั้งหมด กำลังอยู่ในช่วงเตรียมพร้อมเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงทำให้มีการตัดจำหน่ายสินทรัพย์สำหรับโครงการที่ไม่มีการดำเนินการต่อออกทั้งหมด รวมถึงการกลับมาอย่างยั่งยืนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) โดยบริษัทคว้างาน EPC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการชนะประมูลงานก่อสร้างปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ จาก บมจ.ปตท.น้ำมันและค้าปลีก (OR) มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับก๊าซ (Non-Gas) และบริษัทฯ เล็งเห็นถึงการเติบโตของการงาน EPC กลุ่ม Non-Gas นี้ในอนาคตเป็นอย่างมาก
และที่สำคัญคือ SCN ยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำด้านซ่อมบำรุงสถานีก๊าซธรรมชาติ (NGV) ทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทได้รับชัยชนะในการยื่นซองประมูลงาน และขยายพื้นที่ซ่อมบำรุงสถานี (NGV) จำนวน 183 สถานี ทั่วประเทศในเขตกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงเขตภูมิภาค คิดเป็น 75% ของสัญญาซ่อมบำรุงสถานี (NGV) ทั้งหมด โดยมีระยะเวลาสัญญาทั้งหมด 2 ปี รวมมูลค่าสัญญากว่า 240 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เริ่มดำเนินงาน และรับรู้รายได้จากสัญญาใหม่นี้ตั้งแต่เดือน ม.ค.66 เป็นต้นไป