นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 65 ตามงบการเงินก่อนการรวมกิจการกับบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SCGL มีรายได้เติบโตเป็นที่น่าพอใจจากการดำเนินงานของธุรกิจหลักต่าง ๆ ที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 5,988.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากปีก่อน ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่เคยวางไว้ 15% ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 504.3 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 571.7 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากในไตรมาส 4/65 มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการรวมกิจการกับบริษัท บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SCGL และค่าใช้จ่ายพนักงาน ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา ได้แก่
(1) ธุรกิจขนส่งสินค้า มีรายได้ 1,275.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.6% เนื่องจากได้รับงานขนส่งสินค้าทั่วไปและยานยนต์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานขนส่งรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนหลากหลายแบรนด์และรถแบรนด์ชั้นนำจากยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง
(2) ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไป มีรายได้ 521.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.2% และมีอัตราการเช่าพื้นที่มากกว่า 100%
(3) ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ มีรายได้ 446.6 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามรายได้จากธุรกิจดังกล่าวฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการให้บริการขนส่งรถยนต์ไฟฟ้าและปัญหาซัพพลายเชนดิสรัปชั่นเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้มีรายได้ไตรมาส 4/65 และกำไรสุทธิในเดือนธันวาคม 65 ทำสถิติสูงสุดใหม่ รวมถึงมีอัตราการใช้พื้นที่จอดพักรถเพิ่มขึ้นเป็น 75%
(4) ธุรกิจบริการอาหารในประเทศไต้หวันภายใต้การดำเนินงานของ CSLF มีรายได้ 1,312.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% และสามารถเทิร์นอะราวด์สร้างผลกำไรแก่บริษัทฯ
นอกจากนี้ธุรกิจที่ร่วมลงทุนมีส่วนแบ่งกำไรที่ดี เช่น Transimex ในเวียดนาม, ALPHA ที่มีกำไรพิเศษจากการที่พาร์ทเนอร์จากญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนในโครงการคลังสินค้า, บริษัท สยาม เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด ที่ได้รับงานโลจิสติกส์รถยนต์ไฟฟ้าส่งผลมีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นไตรมาส 4/65 และคาดว่าจะสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องในปี 66 จากเทรนด์การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง จากอัตราการเช่าพื้นที่และให้บริการแก่ลูกค้าที่อยู่ในระดับที่ดี รวมถึงมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากแผนงานขยายการลงทุนธุรกิจต่าง ๆ อาทิ การก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไปเพิ่มเติมหลายแห่งโดย ALPHA คาดว่าภายในปีนี้จะพัฒนาพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 220,000 ตารางเมตร, ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ ที่มีแนวโน้มได้รับงานขนส่งรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย, ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ในโครงการ PACS และ PACT, Phnom Penh SEZ Plc (PPSEZ) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในประเทศกัมพูชา ที่เตรียมส่งมอบที่ดินในนิคมฯ แก่ลูกค้าและทยอยรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในปีนี้ ฯลฯ
ขณะเดียวกัน การรวมกิจการระหว่างบริษัทฯ กับ SCGL จะเพิ่มศักยภาพการเติบโตและความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเพิ่มรายได้ การลงทุนขยายธุรกิจในประเทศและระดับภูมิภาค รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนและศึกษาโอกาสเข้าควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะรายงานงบการเงินที่รวมผลการดำเนินงานของ SCGL ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น