นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการเข้าร่วมการยื่นคำเสนอขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ในประเทศไทย ซึ่งจะมีความชัดเจนในเดือน มี.ค.66 การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ LEO 2 ในประเทศญี่ปุ่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 17 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่ามีความพร้อมที่จะจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ไตรมาส 4/67 การลงทุนเพิ่มเติมในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะสนับสนุนให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวทะลุ 500 เมกะวัตต์ในปี 68 จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 236 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้จัดตั้งบริษัทลงทุน Sermsang Next Ventures เพื่อลุยธุรกิจใหม่ โดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโต และสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สร้าง New S-curve สนับสนุนผลงานในอนาคตให้เติบโตก้าวแบบกระโดด
"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า SSP ประสบความสำเร็จในการเป็นโรงไฟฟ้า Renewable เต็มรูปแบบ มีทั้งการเริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่ต้น และการใช้กลยุทธ์ทำ M&A โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะได้เห็นพัฒนาการในการเติบโตอย่างชัดเจน ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 66 บริษัทจะมีแนวโน้มรายได้และกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้" นายวรุตม์ กล่าว
ผลการดำเนินงานในปี 65 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443 ล้านบาท หรือ 51.5% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้กำไรพิเศษในไตรมาส 2/65 จากขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ฮิดากะ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีกำไร 348 ล้านบาท
แต่หากไม่รวมรายการดังกล่าว SSP มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4 % ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ , โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ LEO 1 ในประเทศญี่ปุ่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเวียดนาม สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 48 เมกะวัตต์ และนอกจากนี้ยังมีการรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าวินด์ชัยฟาร์ม สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 45 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 25% ในเดือน มี.ค.65
ในขณะที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 4/65 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีกำไรหลักจากการดำเนินงาน 180.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9 % จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 178.7 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 698 ล้านบาท