นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในรอบปี 66 บริษัทมุ่งเน้นสร้างการเติบโต พร้อมเพิ่มความสามารถการทำกำไรจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจพลังงาน โดยตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 12-15% และตั้งงบลงทุนสำหรับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มเครื่องจักรและปรับปรุงไลน์การผลิตที่เน้นการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจะมาจากการขยายตลาดของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ทั้งในและต่างประเทศ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทน คาดว่าจะเริ่มเห็นสัดส่วนกำไรสุทธิค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากการรับรู้รายได้เพิ่ม และบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีสัญญาณการเติบโตดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ หนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคการให้บริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายใหม่ของบริษัท ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ เพิ่มไลน์สินค้าตกแต่งบ้านให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าแบบครบวงจร อีกทั้งปริมาณคำสั่งซื้อลูกค้าต่างประเทศทยอยสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยตลาดต่างประเทศ ยังสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น มีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อทั้งต่างประเทศและในประเทศที่เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพอยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายราย
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน ที่ผ่านมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ เฟสแรก 50 MW เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทคาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไร เฟส 2 (50 MW) ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ส่วนเฟสที่ 3 และ 4 อยู่ระหว่างวางแผนเพื่อก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุดต่อไป
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 65 บริษัทมีรายได้รวมทุกกลุ่มธุรกิจ 1,463.40 ล้านบาท ลดลง 128.79 ล้านบาท หรือ 8.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,592.19 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่เท่ากับ 37.46 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 26.33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 50.85 ล้านบาท โดยสาเหตุที่สำคัญเกิดจากรายได้จากการส่งออกที่ลดลงตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น
ผลประกอบการของบริษัทที่ปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นไปตามรายได้จากการส่งออกเป็นสำคัญ โดยบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าระหว่างการส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศในช่วงปีผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนใกล้เคียงกันหรือ 50% และ 50% ตามลำดับ โดยมียอดรายได้จากการส่งออกลดลง 26%ขณะที่การจำหน่ายสินค้าภายในประเทศเพิ่มขึ้น 19% ซึ่งมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ปาติเคิลบอร์ด ไม้เอ็มดีเอฟแบบประกอบด้วยตนเองเพิ่มสูงขึ้น