หุ้น PTG บวก 1.46% มาที่ 13.90 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 37 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.20 น. จากราคาเปิด 13.80 บาท ราคาขึ่นสูงสุด 14.00 บาท และต่ำสุด 13.70 บาท
หลังจัด Analyst Meeting ให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มองหุ้น บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) Outperform คงคำแนะนำ "ซื้อ" อัพราคาเป้าหมายสูงขึ้นเป็น 16.20 บาท จาก TSR ที่ 21% คาดกำไรแข็งแกร่งขึ้นในครึ่งแรกของปี 66 และดีเซล B10/B20 อาจกลับมาใช้อีกครั้ง ขณะที่ PTG ยืนยันค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกน้ำมันกลับสู่ปกติ และปริมาณขายไตรมาส 1/66 อาจทำสถิติสูงสุดใหม่อีก รวมทั้งการขยายธุรกิจของกาแฟพันธุ์ไทยจะเร่งขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ จึงปรับประมาณการกำไรปี 66-67 ขึ้น 4-27% เพื่อสะท้อน upside ดังกล่าว
ส่วนโรงกลั่นน้ำมันปาล์มพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่รอสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมให้เอื้อมากกว่านี้ก่อน
ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ผู้บริหาร PTG ให้ข้อมูลว่ายังคงตั้งเป้าการเติบโตของ sale volume ที่ 8-12% โดยการที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มอีก 1 พันสาขา เน้นรุกตลาดในกรุงเทพ ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง โดยจะเป็น model Franchise
ส่วนการที่ กบง. มีมติปรับค่าการตลาดไประดับปกติ ผู้บริหารคาดจะเห็นค่าการตลาดของบริษัทดีขึ้นเป็นลำดับใน Q1/66 และ Q2/66 ด้านธุรกิจ palm complex จะหันไปเน้นน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคมากขึ้น เพราะตลาด b100 ค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว และปี 2023 น่าจะไม่ขาดทุนเหมือนกับปี 2022
มองเป็นบวกเล็กน้อยกับการประชุมนักวิเคราะห์ 1) เห็นถึงความมั่นใจของผู้บริหารที่ sale volume growth อาจจะมากกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้เดิม โดยทั้ง Q1/66 และ Q2/66 จะเห็นการเพิ่มขึ้น QoQ จากภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น 2) แนวโน้มค่าการตลาดกลับมาในระดับปกติ และราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัว ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีมากขึ้น และ3) เราเชื่อว่าค่าการตลาดได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และน่าจะเห็นสัญญาณปรับตัวที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปี 663 ที่ 1.5 พันล้านบาท +59 %YoY จากค่าการตลาดที่กลับสู่ระดับปกติ และคงราคาเป้าหมาย 15.20 บาท อิง Avg PER 17 เท่า คงคำแนะนำ "Trading Buy" ช่วง 1 เดือนราคาหุ้นปรับลงประมาณ 2% สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนตัว ในขณะที่ 1 สัปดาห์ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 7% จากที่ กบง.ปรับค่าการตลาดขึ้นกลับมาเป็นปกติ
ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมอง slightly positive จากเป้าหมายปี 66 ที่ aggressive ทั้ง oil และ non-oil business และมากกว่าที่เราและตลาดคาด หากทำได้จริงจะเป็นโอกาสของ upside
และ ตั้งแต่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมาที่ภาครัฐผ่อนปรนค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจาก 1.40 บาท/ลิตร ทำให้แรงกดดันค่าการตลาดใน Q1/66 ลดลง และคาดกลับสู่ภาวะปกติเต็มไตรมาสใน Q2/66 ขณะที่กลุ่ม non-oil โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์ไทยที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 1,000 สาขา (จาก 511 สาขา) จะเป็นหนึ่งใน key catalyst ของปีนี้
ทั้งนี้ outlook ใน Q1/66 อาจยังเผชิญแรงกดดันค่าการตลาดน้ำมันใน 45 วันแรกของไตรมาสที่คาดว่าไม่สูงนัก และส่วนแบ่งขาดทุนจาก palm complex น่าจะยังมีผลต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนัก Q2/66 น่าจะมีโอกาสกลับสู่ภาวะปกติ ภายหลังรัฐผ่อนปรนการคุมค่าการตลาดน้ำมันดีเซลในปลาย กพ. ที่ผ่านมา
คงกำไรสุทธิปี 66 ที่ 1.39 พันลบ. (+50% y-y) คงราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 17.0 บาท และคง Trading Buy โดยมองช่วง Q2/66 หากสถานการณ์ของค่าการตลาดน้ำมันและธุรกิจ palm complex ทยอยดีขึ้น ค่อยมองเป็นโอกาสสะสม