บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เปิดแผนปี 66 ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตขึ้นมากกว่า 50% ประเมินรายได้โรงไฟฟ้าโตเกิน 2 เท่า ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ฟื้น หวังยอดขายโต 20% หลังปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ EP เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 66 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 50% โดยจะมีรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการติดตั้ง Solar Rooftop, Solar farm และการขายไฟฟ้าให้เอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปีนี้อัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ความต้องการติดตั้งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทสามารถขายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนได้มากขึ้นด้วย
ส่วนโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 160 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียม COD ซึ่งมีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากการไฟฟ้าเวียดนาม ผู้ประกอบการกลุ่มโรงไฟฟ้า และหอการค้าไทย รวมถึงหอการค้าต่างประเทศอื่นๆ ได้เสนอความเห็นต่อรัฐบาลเวียดนามให้เร่งรับซื้อไฟฟ้าโดยเร็ว คาดว่าจะส่งผลให้การเจรจาเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่และการ COD จะมีข้อสรุปได้เร็วขึ้น
"ปี 66 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ โดยธุรกิจสิ่งพิมพ์คาดว่าจะมียอดขายเติบโตประมาณ 20% จากปีก่อน หลังปรับราคาขายได้ตามราคาต้นทุนที่สูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นก็จะกลับสู่สภาวะปกติที่ประมาณ 15% ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการรับรู้โครงการที่มีอยู่ในประเทศที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่าจะได้รับรายได้จากไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม 160 เมกะวัตต์โดยเร็วที่สุด เพราะตามตัวเลขทางเทคนิคที่ได้ศึกษาไว้ ชัดเจนว่า ทุกๆ 1 เมกะวัตต์ที่ติดตั้งของไฟฟ้าพลังงานลมจะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ถึงปีละ 3 ล้านหน่วย เราจึงเร่งรัดที่จะได้ข้อสรุปกับทางเวียดนามให้เร็วที่สุด" นายยุทธ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานปี 65 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 877.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.42% จากปีก่อน โดยสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์มีรายได้ 681.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และรายได้ทางตรงจากธุรกิจไฟฟ้า เพิ่มขึ้นกว่า 145% แต่เนื่องจากยังไม่มีรายได้จากโครงการไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามา ทำให้บริษัทขาดทุนสุทธิ (ส่วนของบริษัท) เป็นเงิน 272.04 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากดอกเบี้ยจ่าย 261.33 ล้านบาท (โดย 250 ล้านบาทใช้สำหรับลงทุนในโครงการลม) รวมทั้งมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 62.49 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อโครงการลม COD แล้วบริษัทก็จะพลิกกลับมามีกำไรเช่นที่แล้วมา
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะขาดทุนในปี 65 แต่หนี้สินต่อทุน (DE) ลดลงเป็น 1.12 เท่า จาก 1.19 เท่า และมีมูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 4.08 บาท