นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บมจ.เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) กล่าวว่า เป้าหมายปี 66 ผลประกอบการยังคงการเติบโตได้ แม้ว่าสัญญาณชะลอตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี จากการที่กำลังซื้อทั่วโลกจะยังได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดยุโรปยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท และบริษัทคาดว่ากำลังซื้อจะเริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้นภายในครึ่งปีหลัง 66
อย่างไรก็ดี หากมองการเติบโตของรายได้แบ่งตามประเภทธุรกิจ คาดว่า ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตได้มากกว่า 15% จากปีก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดโลกยังมีการเติบโตต่อเนื่อง เช่นเดียวกับธุรกิจทูน่าที่คาดว่าจะโตได้ 12% จากปีก่อน แม้ต้นทุนจะมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ความต้องการยังมีต่อเนื่องโดยเฉพาะจากตลาดประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง
สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำคาดว่ารายได้ปีนี้จะสามารถกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับปี 2564 ได้ จากการปรับปรุงคุณภาพอาหารสัตว์น้ำและคาดการณ์ผลการเลี้ยงกุ้งเพิ่มขึ้น ขณะที่มองว่าธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งมีแนวโน้มอ่อนตัวจากปีก่อน 10% จากที่คาดว่าตลาดสหรัฐอเมริกายังไม่มีการฟื้นตัวภายในปีนี้
ทั้งนี้ ปี 66 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1,371 ล้านบาท สำหรับใช้ 3 โครงการคือ งบผูกพันสำหรับขยายกำลังการผลิตและคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจำนวน 1,173 ล้านบาท และลงทุนสายการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดและเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไอน้ำ (Boiler) ใหม่จำนวน 54 ล้านบาท และใช้ลงทุนในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 144 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการปี 65 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 11,164 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากปีก่อนที่ 9,488 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและปลาป่นที่เติบโตถึง 46% และธุรกิจทูน่าที่สูงขึ้น 21% ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำรายได้ลดลง 27% และธุรกิจอาหารแช่แข็งลดลงเล็กน้อยที่ 3%
ขณะที่กำไรสุทธิส่วนของบริษัทอยู่ที่ 979 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,044 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.2 บาท/หุ้น เทียบกับปี 64 ที่ 1.28 บาท/หุ้น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 18.2% จากปีก่อนที่ 19.7% เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณการขายอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง
ทั้งปี 65 บริษัทมีปริมาณการขาย 84,597 ตัน ลดลง 8% จากปีก่อนที่ 91,665 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่ลดลงจากปริมาณการขายอาหารสัตว์น้ำที่ลดลงถึง 32% แต่บริษัทฯ พยายามชดเชยปริมาณการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน โดยสัดส่วนการขายสูงสุดยังคงเป็นตลาดสหรัฐอเมริกา 37% รองลงมาคือตลาดประเทศอิตาลีที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 29%
เฉพาะไตรมาส 4/65 มีรายได้ที่ 2,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตสูง แต่ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งลดลงเพราะความต้องการสินค้ามีการชะลอตัว ประกอบกับตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีสต็อกสินค้ารอการระบายอยู่มาก และรายได้จากธุรกิจทูน่าในตะวันออกกลางลดลง
กำไรสุทธิในส่วนของบริษัท สำหรับไตรมาส 4 ทำได้ 223 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณการขายอาหารทะเลแช่แข็ง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าของทอดแช่เยือกแข็ง (Pre-fried) ที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาลดลงจากการที่สินค้าที่นำเข้ามีระยะเวลารอคอย (Lead time) กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้มีปริมาณสินค้าออกสู่ตลาดมากขึ้น และความต้องการสินค้าจากกลุ่มประเทศยุโรปก็ลดลงจากปัญหาทางเศรษฐกิจ
ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังคงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงกดดันราคาพลังงาน อาหารและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ แต่ปริมาณขายอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทเพิ่มขึ้นมาชดเชยได้บางส่วน ทำให้ปริมาณการขายโดยรวมอยู่ที่ 19,432 ตัน ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณการขายอยู่ที่ 20,866 ตัน