TRUE เปิดเทรดวันแรกหลังควบรวม มาที่ 8.35 บาท จากราคาตลาด ณ 17 ก.พ.66 วันซื้อขายสุดท้าย ที่ 8.51 บาท โดยเมื่อเวลา 10.04 น.ราคามาอยู่ที่ 8.10 บาท ลดลง 0.41 บาท (-4.82%) มูลค่าซื้อขาย 930.32 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุด ราคาสูงสุดที่ 8.40 บาท
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะ "ซื้อ" หุ้น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งเกิดจากการควบรวมระหว่าง TRUE และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 10 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 8.40 บาท หลังจากปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากสมมติฐาน ARPU สูงขึ้น
ธีมการลงทุน ได้แก่ มุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มเพราะคาดว่าการแข่งขันจะลดลงจากปีนี้ไป และ TRUE ในฐานะบริษัทใหม่จะมีกำไรตั้งแต่ต้น และกำไรจะมากกว่าบริษัทเก่าสองบริษัทรวมกันอย่างมาก EV/EBITDA ปี 2023 ที่ 8.7x จะลดลงอีกจากกลยุทธ์การประหยัดต้นทุนที่บริษัทประกาศออกมา
เนื่องจากธุรกิจที่มีผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) ทำให้ TRUE ไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการตัดราคาเพื่อให้ได้ลูกค้าเพิ่มอีกหลังควบรวม เพราะจะเหลือผู้เล่นหลักในตลาดมือถือ และ Fixed Broad Band (FBB) เพียงสองรายเท่านั้น คือ TRUE และ ADVANC ซึ่งความสามารถในการให้บริการลูกค้าจะไม่แตกต่างกันมากเหมือนในอดีต ดังนั้น บริษัทจึงไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ด้านราคามาแข่ง หมายความว่า ARPU จะดีขึ้นในระยะยาว
นอกจาก TRUE จะมีกำไรตั้งแต่ปีแรกหลังควบรวมแล้ว กำไรยังจะมากกว่ากำไรรวมจากสองบริษัทที่ดำเนินการแยกกันอีก โดยกำไรที่จะมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพราะ ARPU ดีขึ้น และการลดต้นทุน โดยเฉพาะค่าเสื่อมราคาที่เกิดจากการ write-down สินทรัพย์เพื่อลดสินทรัพย์ที่ซ้ำซ้อนกัน
TRUE จัดทำงบการเงินแบบ pro forma ในส่วนของงบดุล และงบกำไรขาดทุนของบริษัทหลังควบรวมย้อนไปถึงปี 64 และ 65 สิ่งที่เราพบจากงบ pro forma คือ COGS อยู่ที่ปีละ 1.1 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าที่ประเมินเบื้องต้นเอาไว้ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาที่ลดลงจากการ write-off สินทรัพย์ที่รับรู้ทั้ง DTAC และ TRUE ก่อนควบรวม ถึงแม้การลดค่าเสื่อมราคาจะไม่กระทบกับสถานะกระแสเงินสดของ TRUE แต่ก็ช่วยหนุนสภาวะของ TRUE ในแง่ของกำไรที่จะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เริ่มควบรวม
ทั้งนี้ สมมติฐานที่เปลี่ยนไปอย่างแท้จริงคือ ARPU โดยเราปรับเพิ่มสมมติฐาน ARPU ของบริการมือถือจาก -3% เป็นทรงตัวในปี 66 และ 67 ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 66-67 ขึ้นอีก 20% ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการใหม่ เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ TRUE จะอยู่ที่ 6.7 พันล้านบาทในปี 66 (+347% yoy) และจะอยู่ที่ 7.1 พันล้าบนาทในปี 67 (+6.5% yoy)
ทั้งนี้ ประมาณการปี 66 ของเรายังไม่ได้สะท้อนถึงการประหยัดต้นทุนที่อาจจะเกิดขึ้นหลังควบรวม โดยเราจะรอฟังข้อมูลจากบริษัทก่อนจึงค่อยปรับประมาณการของเราอีกครั้ง