นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจการลงทุนผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่นยืน โดยมุ่งเน้นต่อยอดธุรกิจภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศและประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ รวม 5 ปี (ปี 66-70) ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ไว้ที่ 1.85 หมื่นล้านบาท
สำหรับแผนการลงทุนดังกล่าว จะมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการลงทุน เพื่อขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะอุตสาหกรรม และพลังงานประเภทอื่น ๆ โดยตั้งเป้ายอดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสะสมเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์
ล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมเสนอชื่อเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งเปิดรับซื้อโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิคจำนวน 5 โครงการ คาดว่าจะทราบผลการตัดสินรอบสุดท้ายภายในเดือนมีนาคมนี้
"WHAUP มุ่งลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคในรูปแบบต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมโซลูชั่นต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้า และบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งลูกค้า ชุมชน และสังคม เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) จาก Wastewater Reclamation หรือการนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วมาใช้ใหม่ ช่วยให้ลูกค้ามีน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงใช้ในราคาที่ถูกลง และลดปริมาณน้ำเสียที่จะถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ สอดคล้องกับเจตนารมย์ของบริษัทในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล" นายสมเกียรติ กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 65 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 2,790 ล้านบาท และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 448 ล้านบาท ลดลง 8% และ 48% ตามลำดับจากปีก่อน โดยรายได้รวมจากธุรกิจจำหน่ายน้ำและไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12 จากปีก่อน แต่บริษัทได้รับผลกระทบทางลบจากต้นทุนพลังงานทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า SPP และ IPP ลดลง ในขณะที่มีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 454 ล้านบาท ลดลง 38% จากปีก่อน