นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 66 จะเป็นปีแห่งการพลิกฟื้นธุรกิจหรือ เทิร์นอะราวด์ ด้วยการพัฒนาธุรกิจใหม่ในกลุ่ม ทั้ง บริษัท Wave BCG จำกัด และบริษัท Wave Wellbeing จำกัด รวมถึงการปรับกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจเดิมคือธุรกิจสถาบันการศึกษาหรือ Wallstreet English
"ปีนี้เรามีความพร้อมขยายธุรกิจทุกกลุ่ม ปัจจัยพื้นฐานทางด้านการเงินก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ได้ปลดเครื่องหมาย C หุ้น WAVE หลังจากที่บริษัทเพิ่มทุนสำเร็จและนำเงินเพิ่มทุนไปชำระหนี้ที่ครบกำหนดแก่สถาบันการเงินตามวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้หนี้สินรวมของบริษัทลดลง 54% เหลือเพียง 324.29 ล้านบาท"
นายเจมส์ กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้าหมายผลประกอบการปีนี้จะพลิกกลับเป็นกำไรจากงวดปี 65 มีผลขาดทุนสุทธิ 65.81 ล้านบาท หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่ม และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้มีความพร้อมในการขยายธุรกิจอย่างเต็มที่
ธุรกิจใหม่ของบริษัท คือ Wave BCG จะเป็น S-curve ใหม่ ซึ่งมีที่มาจากธุรกิจ Carbon Credits เป็นเทรนด์ใหม่ของโลก โดยเฉพาะหลังการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26 ) ในกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ (ข้อตกลงประเทศไทยเรื่อง Carbon Neutral 2050, Net Zero Emissions 2065, Reduce by 40% by 2030) ประกอบด้วย Carbon Tax ,CBAM Vendor List , Funds (ESG), Green Financing และ Stakeholder Pressure เพิ่มความความกดดันให้กับผู้ประกอบการไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Wave BCG คือการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กรไทยในระดับโลก
Wave BCG ทำธุรกิจ Carbon Credit ครบวงจร ให้บริการด้านการเป็นที่ปรึกษาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย Carbon Credits การหาและบริหาร Climate Project สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท สนับสนุนการขึ้นทะเบียน Carbon Credits การตรวจสอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท การจัดหา Carbon Credit ให้องค์กรในไทยและ SEA รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้าน Climate Tech/ Sustainability Tech
ส่วนธุรกิจใหม่อีกธุรกิจคือ Wave Wellbeing ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมสุขภาพ ปัจจุบันดำเนินธุรกิจกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเป็นเจ้าของและดำเนินกิจการโรงเรือนของตนเองเพื่อคุมคุณภาพ (Quality) แผนานสำคัญคือจะขยายเข้าสู่การพัฒนาศูนย์ดูแลสุขภาพ (Wellness Center) ที่มีผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสุขภาพ
ขณะที่ธุรกิจ Wallstreet English เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษชั้นนำของโลก มีการดำเนินการทั่วโลกมากกว่า 50 ปี และในประเทศไทยมากกว่า 20 ปีตั้งแต่ปี 2546 (2003) โดยมีนักเรียนกว่า 100,000 คนที่จบหลักสูตร มียอดขายสูงที่สุดในเอเชีย โดยคู่แข่งอันดับ 2 และ 3 ต่างกันถึง 20% และ 30% ตามลำดับ
ในประเทศไทย Wallstreet English มี การครองตลาดในส่วนของกลุ่มลูกค้าพรีเมียมได้ถึง 35% ธุรกิจสอนภาษาอังกฤษ มีสาขาทั้งหมด 13 สาขาทั่วประเทศไทย ขณะที่มีแผนการขยายสาขาในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ด้วย franchising model ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าผลงาน Wallstreet English เติบโตก้าวกระโดด หลังจากปี 65 ทำนิวไฮ นับจากเกิดสถานการณ์โควิด
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินรวมไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มให้สามารถพลิกฟื้น (Turnaround) ด้วยการพัฒนาธุรกิจใหม่ และการปรับกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจเดิม