พรินซิเพิล จับจังหวะช่วงหุ้นไทยไซด์เวย์ส่งหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง KIKO รับโอกาสรีเทิร์นสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 7, 2023 11:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พรินซิเพิล จับจังหวะช่วงหุ้นไทยไซด์เวย์ส่งหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง KIKO รับโอกาสรีเทิร์นสูง

นายศุภกร ตุลยธัญ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล เตรียมเปิดตัว "กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย" (Principal Complex Return Fund Not for Retail Investors :PRINCIPAL CR-AI) ทุนจดทะเบียน 2 พันล้านบาท (Green shoe 15%) สั่งซื้อขั้นต่ำ 500,000 บาท กำหนดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 7-15 มี.ค. 66

กองทุนฯ มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทางการเงิน เงินฝาก โดยจะพิจารณาปรับสัดส่วนลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0-100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL CR-AI มีอายุกองทุนประมาณ 1 ปี (ตั้งแต่ 11 ? 13 เดือน) นับจากวันที่จดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม โดยบริษัทจัดการจะพิจารณาเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการได้

ในช่วงครึ่งแรกของอายุโครงการ (ประมาณ 6 เดือน) กองทุนฯ มีนโยบายเน้นลงทุนแบบ "buy-and-hold" (เน้นลงทุนครั้งเดียวและถือไว้จนครบกำหนดอายุโครงการ) ในสัดส่วนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ในตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่เป็นหุ้นกู้อนุพันธ์ประเภท KIKO (Knock-In Knock-Out) ที่มีอายุตราสารสอดคล้องกับกรอบเวลาในช่วงครึ่งแรกของอายุโครงการดังกล่าว มีผลตอบแทนอ้างอิงกับหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณ 1 ถึง 2 หลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขการไถ่ถอนด้วยการส่งมอบเงินสดและหรือทรัพย์สินอื่นที่เทียบเท่าเงินสด หรือส่งมอบหุ้นอ้างอิงตามเงื่อนไขที่กำหนดของแต่ละตราสาร

ในส่วนของหุ้นอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นไทยคุณภาพในดัชนี SET 100 มีปัจจัยพื้นฐานดีใน 6-12 เดือนข้างหน้า มุ่งเน้นหุ้นที่มี Downside จำกัด และมีโอกาสเติบโตในอนาคต อีกทั้งจัดสรรน้ำหนักการลงทุนตามสัดส่วนโดยคำนึงถึงโอกาสเกิด Knock-in และ Knock-out ของพอร์ตลงทุนและความเสี่ยงโดยรวม เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมาย ทั้งนี้กองทุนจะลงทุนอย่างน้อยจำนวน 7 ตราสารเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน โดยผู้ออกตราสารจะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสามารถที่ลงทุนได้ (Investment Grade) เท่านั้น

ส่วนในช่วงภายหลังจากระยะเวลาประมาณ 6 เดือนแรก แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ 1. ตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่กองทุนเข้าลงทุนครบกำหนดไถ่ถอนโดยเข้าเงื่อนไขด้วยการส่งมอบเป็นเงินสดทั้งหมด บลจ. พรินซิเพิลจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดแบบอัตโนมัติ เพื่อคืนเงินแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนและเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ

และ 2. กรณีที่ตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่กองทุนฯ เข้าลงทุนครบกำหนดอายุและได้รับมอบเป็นหุ้นอ้างอิงจากตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงใดๆ ที่กองทุนลงทุน บริษัทจัดการจะบริหารจัดการหุ้นอ้างอิงที่ได้รับมอบดังกล่าวต่อไป โดยอาจพิจารณาขายหลักทรัพย์ดังกล่าวออกบางส่วนหรือทั้งหมด รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่กองทุนเข้าลงทุนตามดุลยพินิจของบริษัทจัดการ

อย่างไรก็ดีในกรณีที่กองทุนจำหน่ายหุ้นอ้างอิง ทรัพย์สินอื่นๆ ทั้งหมดก่อนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ เพื่อคืนเงินแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนและเลิกกองทุนก่อนกำหนดอายุโครงการ

นายศุภกร กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 66 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ ไม่ได้มีอัพไซด์มาก แต่ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงติดลบรุนแรง เนื่องจากมองว่าปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากดดันภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนอยู่ในระดับที่สมดุลกัน

โดยประเมินปัจจัยบวกหลัก ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 3.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่ GDP มีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.2% (ที่มา: กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF) ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากเปิดประเทศ และการเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงกลางปีนี้จะสนับสนุนการตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น

ส่วนปัจจัยลบที่จะเข้ามากดดัน ได้แก่ ภาคส่งออกที่มีสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่า GDP มีแนวโน้มหดตัวจากความเสี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศพัฒนาแล้ว นอกเหนือจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แล้วนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ถึง 3 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2-2.25% จาก 1.5% ในปัจจุบัน และอัตรากำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทย (EPS) ที่มีความเสี่ยงจะถูกปรับลดประมาณการ จากกลุ่มบริษัทพลังงานและบริษัทภาคอุตสาหกรรมที่แนวโน้มกำไรลดลง

ดังนั้น มองว่าการลงทุนใน "หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ประเภท KIKO (Knock-In Knock-Out)" ที่อ้างอิงกับหุ้นไทย หรือหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้นที่มีการจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาหุ้นหรือราคาหุ้นในตะกร้าหลักทรัพย์ มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นในภาวะตลาดไซด์เวย์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ