นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ (K) เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 66 ภายหลังการเศรษฐกิจได้กลับมาฟื้นตัว งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions) และธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors) กลับมาคึกคักขึ้น ดังนั้นในปีนี้ บริษัทฯจึงปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ในส่วนงาน Interiors โดยลดขนาดงานลง หันมาเน้นรับงานระยะสั้น-ระยะกลางมากขึ้น รวมถึงจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) มากขึ้น อาทิ งานประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มแบรนด์ลักซ์ชัวรี่รายใหญ่ (งานออกร้านต่างๆ ที่จะจัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นพื้นที่ให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นในแบบของตัวเอง)
โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้หันมาให้บริการกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่างานประเภทดังกล่าว อยู่ในกรอบระยะเวลาในการการดำเนินงานไม่นานเกินไป ซึ่งสามารถหมุนรอบของกระแสเงินสดที่ไว และมีมาร์จิ้นที่ดี
ขณะเดียวกันในช่วงเดือน มี.ค.66 บริษัทจะมีงานโปรเจ็คต์ Motor Show ในส่วนการจัดบูธพิเศษเท่านั้น โดยเบื้องต้นได้วางเป้าหมายจะมีรายได้จากงานดังกล่าว ประมาณ 100 ล้านบาท และคาดว่ามีงานโปรเจ็คต์ใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานอีกกว่า 10 ราย และคาดว่าจะสามารถสรุปดีลใหม่ได้ในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมธุรกิจในปี 65 ที่เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก ประกอบกับแผนเดินเกมรุก ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทฯเชื่อมั่นว่า ในปี 66 จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ ได้อีกครั้ง พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้แตะ 850 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจาก 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มงาน Interiors ประมาณ 15-20% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และงาน Event (อีเว้นท์)
ล่าสุด บริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมมูลค่า 400 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในปี 66 เกือบทั้งหมด
สำหรับผลประกอบการงวดปี 65 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 847.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% (YoY) ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากงานแสดงสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่มียอด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 277.88 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นรวม 48% (YOY) จากงานกิจกรรมทางการตลาดที่เริ่มฟื้นตัว
ขณะที่สายงานธุรกิจก่อสร้างตกแต่งภายใน (Interior) มีสัดส่วนลดลงกว่า -44% เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับโครงสร้าง เพื่อให้สอดรับกับภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยเน้นรับงานโครงการที่มีขนาดเล็กลง และเน้นรับงานในกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) ที่สามารถบริหารจัดการได้ทั่วถึง ส่งมอบงานได้ตามกำหนดและเน้นทำกำไรให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้แผนการปรับกลยุทธ์ โดยการปรับโครงสร้างธุรกิจก่อสร้างตกแต่งภายใน (Interior) และปิดกิจการบริษัทย่อยทั้งเมียนมาร์และกัมพูชา ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 มีกำไร 20.55 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสะท้อนถึงปี 65 ให้พลิกกลับมามีกำไรสุทธิที่ระดับ 1.95 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 66 เพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 2 (K-W2) จำนวนไม่เกิน 79,922,412 หน่วยให้ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตรา 6 หุ้นสามัญต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ อายุ 1 ปี สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญทุก 3 เดือน ราคาใช้สิทธิ 0.80 บาทต่อหุ้น
และที่ประชุมยังมีมติพิจารณาอนุมัติยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่าไม่เกิน 300 ล้านบาท ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ Advance Opportunities Fund (AO Fund) และ Advance Opportunities Fund 1 (AO Fund 1) เนื่องจากมองว่าการเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าว มีมูลค่าสูงและระยะเวลาค่อนข้างนาน