นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล (KCC) เปิดเผยแผนธุรกิจปี 66 ว่า บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายจะเข้าลงทุนซื้อหนี้ NPLs เพิ่มอีกประมาณ 900 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีพอร์ตหนี้ NPLs รวมจะขยับขึ้นไปทะลุ 1,800 ล้านบาท จากสิ้นปี 65 อยู่ที่ 1,332.62 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 135.62% จากสิ้นปี 64 อยู่ที่ 565.57 ล้านบาท
"จากการประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรม AMC ในปีนี้ คาดว่าปริมาณหนี้ NPLs ที่จะเข้าสู่ระบบจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ต่อมาตรการช่วยเหลือที่หมดอายุลงแล้วเมื่อสิ้นเดือน ธ.ค.65 และบริษัทซึ่งมีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์มามากกว่า 20 ปี ด้านหนี้คอร์ปอเรท ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ที่มีสัดส่วนมากที่สุดของหนี้ NPLs ในระบบ ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท" นายทวี กล่าว
ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านเงินทุนรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ในการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นวันที่ 20 เม.ย.66 บริษัทจะขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นขอออกและจำหน่ายหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้ขยายธุรกิจ เป็นทุนหมุนเวียนและชำระหนี้คืน ซึ่งระยะเวลาในการออกจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพตลาดในขณะนั้น
นายทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เข้าระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO) เมื่อพฤษภาคม 2565 และการออกหุ้นกู้ได้เงินรวมกันกว่า 926 ล้านบาท ได้นำมาลงทุนซื้อหนี้ต่อเนื่องปี 65 ลงทุนซื้อหนี้ NPLs ทั้งสิ้น 930 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รายได้และกำไรเติบโต
ปี 65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 77.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.35% เมื่อเทียบกับปี 64 ที่มีกำไรสุทธิ 52.42 ล้านบาท และบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 170.49 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจาก 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) ที่มีรายได้ 164.22 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 96.33% ของรายได้ทั้งหมด และ2.ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ที่มีรายได้ 5.95 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.49%
นายทวี กล่าวว่า บริษัทยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจโดยเฉพาะความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง โดยมีกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) สูงกว่า 80% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 37.79% ซึ่งผลดำเนินงานที่เติบโตขึ้น รวมกับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai หนุนให้ ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทมีส่วนของเจ้าของเท่ากับ 1,095.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 64 จำนวน 634.41 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 137.73 %