นายจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล กรรมการ/รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปี 66 โต 15% และกำไรสุทธิเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการปรับปรุงส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix) โดยเฉพาะธุรกิจสาหร่าย ไม่ว่าตลาดในประเทศหรือตลาดต่างประเทศ เช่น ในตลาดจีน ปัจจุบันสินค้าที่ขายดีคือ สาหร่ายย่าง ก็จะมาเน้นในเรื่องของสาหร่ายทอด เพื่อเฉลี่ยยอดขาย เนื่องจากสาหร่ายทอดจะมีมาร์จิ้นที่ดีกว่า ขณะที่ในไทย สาหร่ายอบ ก็มีแนวโน้มที่มีการเติบโตที่ดีและมีมาร์จิ้นดีกว่าสาหร่ายย่าง
นอกจากนี้จะมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดย TKN ตั้งเป้าหมายจะต้องมียอดขายในระดับไม่น้อยกว่า 10% ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บริษัทฯ คาดว่าจะได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการกลับมาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ โดย TKN ได้ปรับกลยุทธ์มามุ่งเน้นการขายผ่านช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าท้องถิ่น (Traditional Trade) มากขึ้น เนื่องด้วยคาดว่าตลาด Traditional Trade ในประเทศไทยน่าจะกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้ จากโอกาสในการกระจายสินค้าสู่ร้านค้าท้องถิ่นยังมีอีกมาก เห็นได้จากตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.พ.66 มีจำนวน Traditional Trade เพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 1,000 ร้านค้า
บริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสาหร่ายอีกอย่างน้อย 10 รายการ (SKUs) เพื่อสร้างความหลากหลายตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกัน และผลิตภัณฑ์นอกเหนือสาหร่าย (Non-Seaweed) เช่น เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ "จัสท์ดริ้งค์ (Just Drink)" ที่ร่วมมือกับทางร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN อีกไม่น้อยกว่า 2-3 SKUs เป็นต้น
ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณากลับมาขยายสาขา Taokaenoi Land อีกครั้ง หากการท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวดีขึ้น และไม่มีปัจจัยเชิงลบใหม่เข้ามากระทบรุนแรง หลังจากชะลอไปในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และในช่วงไตรมาส 2-3/66 จะเริ่มเห็นธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเสริมเพิ่มเติมด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์ "3 GO" ประกอบด้วย 1. GO Firm มุ่งปรับองค์กรให้กระชับ (Lean) คล่องตัวและรวดเร็วขึ้น เพื่อลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ TKN สามารถปรับตัวได้เร็วและมีความยืดหยุ่นเตรียมพร้อมรองรับแผนงานต่างๆ
2. GO Broad หรือการขยายฐานธุรกิจให้กว้างขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ที่มีนวัตกรรมใหม่เข้าสู่ตลาด รวมถึงเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น และ 3. Go Global การขยายตลาดในต่างประเทศที่มีศักยภาพ โดยวางแผนไว้ระยะยาว 3-5 ปี เพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งเป็นไปได้ทั้งแบบการเติบโตจากภายในและการซื้อกิจการ (M&A)