สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับ 1 ไฟลิ่งของ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 51 เพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 16.33% ของทุนชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ (ไม่รวมหุ้นสามัญที่จัดสรรไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ) โดยมีบล.พัฒนสินเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ก่อนหน้านี้ ผู้ถือหุ้นของบริษัทอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 220,000,000 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 1,200,000,000 บาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,200,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยหุ้นสามัญที่เหลือจำนวน 20,000,000 หุ้นจะจัดสรรไว้รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ออกและเสนอขายให้แก่พนักงานของบริษัท
บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ใช้เป็นทุนหมุนเวียนและเพิ่มเงินกองทุนของบริษัทให้แข็งแกร่ง สร้างความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้า และรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต โดยกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญ ได้แก่ การขยายเครือข่ายตัวแทน การพัฒนาประสิทธิภาพการขยายตลาดผ่านธนาคาร และการให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นไปยังการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า่และการกลั่นกรองคุณภาพของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยบริษัทมีช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทด้วยกัน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน และช่องทางการจำหน่ายผ่านธนาคาร ซึ่งมีธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นพันธมิตรในการขยายตลาดผ่านช่องทางธนาคาร
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท 5 อันดับแรก ประกอบด้วย กลุ่มโสภณพนิช ถือหุ้น 386,667,390 หุ้น หรือคิดเป็น 38.66% หลังขาย IPO จะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ 32.22%, กลุ่มนิปปอนไลฟ์ อินชัวรันส์ ถือหุ้น 250,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25% หลัง IPO จะเหลือสัดส่วน 20%, กลุ่มธนาคารกรุงเทพ ถือ 92,873,200 หุ้น หรือคิดเป็น 9.28% หลัง IPO จะเหลือสัดส่วน 7.73%, กลุ่มลิมทรง ถือหุ้น 84,509,000 หุ้น หรือคิดเป็น 8.45% หลังขายเหลือสัดส่วน 7.04% และ บมจ. กรุงเทพประกันภัย ถือหุ้น 51,225,000 หุ้น หรือ 5.12% ภายหลังจะลดเหลือ 4.26%
บริษัทฯ มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีในแต่ละปีที่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน แต่จะต้องไม่มีขาดทุนสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--