บล.ยูโอบีเคย์เฮียน(ประเทศไทย)หรือ UOBKH ตั้งเป้ารายได้ในปี 51 จะเติบโตในระดับ 10-20% จาก 532 ล้านบาทในปี 50 ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3% จากปีก่อนอยู่ที่ 2.1% โดยบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันการเงินให้สูงขึ้นเป็น 40-50% จากปีก่อนอยู่ที่ 20-30% พร้อมทั้งเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งสำหรับกระดานต่างประเทศในช่วงกลางปีนี้ เจาะตลาดฮ่องกงและสิงคโปร์เป็นหลัก เชื่อว่าจะดึงลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 2 พันราย
นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริการร่วม UOBKH กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะสูงขึ้นกว่าปี 50 หรืออาจจะมีวอลุ่มเฉลี่ยต่อวันถึงระดับ 2 หมื่นล้านบาท
ประกอบกับ ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนรายย่อยก็เข้ามาซื้อขายมากขึ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทจะขยายฐานนักลงทุนโดยเน้นทั้งนักลงทุนในประเทศประเภทสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรวมกัน 40-50% เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วนประมาณ 20-30%
นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งที่สามารถซื้อขายหุ้นในกระดานต่างประเทศให้ได้ภายในกลางปีนี้ โดยในปีแรกคาดว่าจะมีลูกค้าประมาณ 2 พันราย โดยจะทำตลาดในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซียและ สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้า 9,000 บัญชี เป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอประมาณ 4,000 บัญชี ทั้งนี้บริษัทไม่ได้เน้นเพิ่มจำนวนบัญชีลูกค้า แต่พยายามสร้างบัญชีลูกค้าที่มีคุณภาพ มีการซื้อขายสูง โดยลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่มีพอร์ตลงทุนกับบริษัทรายละประมาณ10 ล้านบาท
"เป้ามาร์เก็ตแชร์และจำนวนเพิ่มลูกค้าไม่ใช่ภารกิจหลักของบริษัท แต่เราต้องการลูกค้าที่มีคุณภาพ มีการซื้อขายต่อเนื่อง พอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่กว่ารายย่อยทั่วๆไปที่มักเล่นหุ้นเก็งกำไร ซึ่งเราไม่นิยมปล่อยเครดิตให้ลูกค้ากลุ่มนี้ เรามั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะโตกว่าปีก่อนอยู่ เพราะวอลุ่มตลาดปรับเพิ่มขึ้นสูงจากปีก่อน และเชื่อว่าจะสูงต่อเนื่อง เพราะหุ้นไทยยังมี upside gain หลังจากที่ปีก่อนที่ตลาดหุ้นไทยไม่โต" นายชัยพัชร์ กล่าว
นายชัยพัชร์ กล่าวอีกว่า บริษัทเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพอร์ตลงทุนเหมือนอย่างบริษัทหลักทรัพย์อื่น เพราะไม่มีความชำนาญ และเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง ซึ่งบริษัทแม่เองก็ไม่มีนโยบายเรื่องดังกล่าว
สำหรับการควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์อื่น ทาง UOBKH ยังเปิดกว้างในการรับพันธมิตรใหม่ และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ แต่หากมีการควบรวมกิจการบริษัทจะต้องเป็นแกนนำฯ ซึ่งยอมรับว่าหากมีการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ในอนาคต เชื่อว่าบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่จึงจะอยู่รอด โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดพร้อมลงทุน 752 ล้านบาท
นายชัยพัชร์ กล่าวว่า กรณีที่บริษัทจะชักชวนบริษัทในไทยไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา แต่ไม่ระบุว่าเจรจาอยู่กี่ดีล ทั้งนี้ บริษัทมองว่าเป็นโอกาสที่สามารถผลักดันบริษัทไทยไปสู่ตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ เนื่องจากตลาดหุ้นสิงคโปร์มีความน่าสนใจและได้ประโยชน์จากการเข้าจดทะเบียนด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--