โดย PLT ได้ยื่นเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 280,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็น 29.17 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยใช้ชื่อย่อ PLT ในกลุ่มธุรกิจขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทางเรือและรถบรรทุก โดยมี บริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
PLT เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ และธุรกิจให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางรถ ก่อตั้งโดยกลุ่มตระกูลฉิมตะวัน เมื่อปี 2553 ปัจจุบัน บริษัทมีเรือขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวน 19 ลำ มีขนาดตั้งแต่ 570- 900 ตัน และรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวน 44 คัน (รถ 6 ล้อ รถ 10 ล้อ รถลากจูง และรถกึ่งพ่วง) ทั้งนี้ ในการให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ จะใช้เส้นทางเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขตครอบคลุมประเทศไทย (ฝั่งอ่าวไทย) และเรือกลเดินทะเลใกล้ฝั่ง (Near-coastal) ได้แก่ ประเทศกัมพูชาและเวียดนาม โดยลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทและบริษัทย่อยในธุรกิจขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ คือ กลุ่มบริษัทที่เป็นผู้ผลิตและ/หรือจำหน่ายก๊าซ LPG รายใหญ่ในประเทศไทย เช่น บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR), บมจ.ปตท. (PTT) และ บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP)
นอกจากนี้ PLT มีบริษัทลูก บริษัท เวิลด์ไวด์ ทรานสปอร์ต จำกัด หรือ WWT เพื่อให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ โดยทำการว่าจ้างเรือขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากบริษัทในลักษณะสัญญาเช่าเหมาเรือแบบระยะเวลา (Time Charter) เป็นเวลา 10 ปี ในการให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวแก่กลุ่มลูกค้า โดย PLT ถือหุ้น 99.99 %
ส่วนการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางรถ ใช้เส้นทางในประเทศและต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนในการบริการขนส่ง โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก เป็นกลุ่มผู้ค้ามาตรา 7, สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ปั๊ม LPG), โรงบรรจุก๊าซหุงต้ม และโรงงานอุตสาหกรรม
หลังจากนี้ PLT เตรียมนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์แก่นักลงทุน (โรดโชว์) ผ่านระบบออนไลน์ และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ครั้งนี้ จะทำให้ PLT เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น
นายวราวิช ฉิมตะวัน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PLT กล่าวว่า การเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในครั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนในการขยายกิจการ โดยซื้อเรือทดแทนเรือที่ถึงกำหนดปลดระวาง ขยายกองเรือบรรทุกก๊าซ LPG และก๊าซเคมีเหลว ขยายกองรถบรรทุกก๊าซ LPG พร้อมติดตั้งระบบ ERP ภายในองค์กร ปรับปรุงลานจอดรถบรรทุกก๊าซ LPG ก่อสร้างโรงซ่อมบำรุงรถบรรทุก และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ นับเป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมาย เพื่อให้บริษัทสามารถขยายตัวพร้อมรองรับการเติบโตในอนาคตและผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับผลดำเนินงานปี 2562 ถึงปี 2565 บริษัท มีรายได้จากการให้บริการขนส่งรวม 707.77 ล้านบาท 637.75 ล้านบาท 665.34 ล้านบาท และ 794.16 ล้านบาท ตามลำดับ และกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท 36.31ล้านบาท 55.07 ล้านบาท และ 62.21 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ
"การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง และเพิ่มโอกาสการลงทุนโครงการในอนาคตให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงในระยะยาว" นายวราวิช กล่าว