นายธนเสฏฐ์ อัครบุญญาพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อิทธิฤทธิ์ ไนซ์ คอร์ปอเรชั่น (ITTHI) กล่าวว่า บริษัท พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 22 มี.ค.นี้ ด้วยชื่อ ITTHI เป็นอีกก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืน และมั่นใจเงินจากการระดมทุนราว 210 ล้านบาทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายในปี 66-67 รองรับการเติบโตของ ITTHI เพิ่มความน่าเชื่อถือรวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนนักลงทุนในระยะยาว
สำหรับผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่างเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวโยงกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งฐานลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่ กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย และกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ของประเทศ เช่น คอนโดมิเนียม และ โครงการบ้านจัดสรร รวมถึง อาคารทุกประเภท เช่น ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โชว์รูม ร้านค้า ร้านอาหาร โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม โรงเรียน คลังสินค้า และสนามบิน
รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีกว่า ประหยัดพลังงานมากกว่า หรือ มีรูปแบบสวยงามกว่า และ การซื้อเพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุด หรือหมดอายุ ดังนั้นการเติบโต และการเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการขยายตัวของผลประกอบการของบริษัท ในฐานะที่บริษัทดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคมไฟฟ้าแสงสว่างอย่างครบวงจร มีช่องทางจำหน่ายครอบคลุมทั้งผ่านโชว์รูปของบริษัทเอง และโชว์รูมของคู่ค้า รวมถึง ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
ลูกค้าของบริษัทราว 80% เป็นกลุ่มโครงการ ส่วนที่เหลือเป็น กลุ่มลูกค้าขายส่ง กลุ่มลูกค้ารายย่อย และในปี 65 ITTHI ได้เริ่มขยายไปยังกลุ่มลูกค้าภาครัฐบาล มีรายได้เข้ามาสัดส่วนประมาณ 3.7% และมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 66
"ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 66 มีทิศทางที่ดี ITTHI ชนะการประมูลอันดับ 1 จากลูกค้าผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายราย ในการให้เราไปช่วยติดตั้งอุปกรณ์แสงสว่าง และปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) คาดเกิน 50% จากรายได้ของปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 227 ล้านบาท และจะมุ่งเน้นนำสินค้านวัตกรรมเข้าไปเจาะตลาดลูกค้าภาครัฐต่อเนื่อง คาดยอดขายจากภาครัฐในปีนี้จะมากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป จึงมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของเรา" นายธนเสฏฐ์ กล่าว
นายธีรฉัตร ศิลปสนธยานนท์ ผู้อำนวยการ บล.ฟินันซ่า ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หุ้น ITTHI น่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เนื่องจากช่วงที่เปิดเสนอขายหุ้น IPO กระแสความต้องการหุ้นมีมากกว่าจำนวนที่จัดสรร ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ ITTHI แล้ว การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 70 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3 บาท สร้างความสนใจให้นักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นเติบโตรับเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
จากประสบการณ์ในธุรกิจไฟฟ้าส่องสว่างมากว่า 24 ปี ทำให้ ITTHI ได้รับความน่าเชื่อถือจากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของประเทศ และถือเป็นจุดเด่นสำคัญในการนำพาบริษัทให้เติบโต มีศักยภาพทางการเงินและต้นทุนการเงินที่ต่ำ มีสัดส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำเพียง 0.04 เท่า มีลูกค้าและทีมงานที่มั่นคง และ ITTHI กำลังจะเป็นหุ้นน้องใหม่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่างชั้นนำ ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่อไป
นายกิตติชัย นาคะประเสริฐกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ 3 บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ITTHI จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีความน่าสนใจในอัตราความสามารถในการทำกำไรระดับสูง ด้วย Business Model บริหารจัดการการผลิตโดยการว่าจ้างผู้ผลิตที่มีคุณภาพ และนำมาจำหน่าย ทำให้คล่องตัว และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง สนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง และอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 9% โดดเด่นเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
สำหรับภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นในปี 65 และในปี 66 มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก ทำให้มองว่า ผลการดำเนินงาน ITTHI จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้านวัตกรรม ทำให้สามารถขยายไปยังกลุ่มลูกค้าภาครัฐมากขึ้น
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (63-65) กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 231.21 ล้านบาท 216.02 ล้านบาท และ 226.93 ล้านบาท ตามลำดับ โดยบริษัทมีรายได้หลักจากการจัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในสัดส่วนประมาณ 73.80-98.22% ของรายได้รวม และรายได้จากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ประกอบด้วย แอลกอฮอล์ชนิดน้ำและชนิดเจล โดยบริษัทได้รับสิทธิจัดจำหน่ายจากคู่ค้าในแบรนด์ UNIONCLEAN ซึ่งบริษัทมีรายได้จากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อในสัดส่วน 1.36-25.5% ของรายได้รวม โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 18.49 ล้านบาท 15.04 ล้านบาท และ 21.15 ล้านบาท และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.95% , 6.94% และ 9.28% ตามลำดับ