นายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าปี 66 ผลประกอบการจะพลิกมีกำไร โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 620 ล้านบาท เติบโต 68% รักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 4% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้นและควบคุมต้นทุนในการบริหารและการขายให้อยู่ในระดับคงที่ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว และการท่องเที่ยวทยอยกลับมา จะส่งผลบวกต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับการดำเนินงานปีนี้ บริษัทวางกลยุทธ์เพิ่มยอดจำหน่ายทุกช่องทาง ประกอบด้วย ค้าปลีก (Retail Business) คิดเป็นสัดส่วน 51.8% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทจะปรับโมเดลธุรกิจให้มีประสิทธิภาพการทำกำไรมากขึ้น อาทิ การปรับปรุงให้สาขาสามารถขายสินค้าสู่ร้านค้าทั่วไปได้ พร้อมปรับรูปแบบร้านค้าใหม่ให้มีขนาดเล็กลง แต่มีศักยภาพในการขายมากขึ้น
BEAUTY BUFFET SHOP รูปแบบใหม่จำนวน 10 แห่ง มีกระแสตอบรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดขายเติบโตขึ้นทุกจุดจำหน่าย ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายช่องทางจำหน่ายและปรับปรุงเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และ พรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มสาขาใหม่อีก 10 สาขา
ล่าสุดบริษัทมีแผนขยายช่องทางการขายรูปแบบใหม่ โดยให้สิทธิการเปิดร้านค้า (Shop License) แบบ KIOSK License เพื่อกระจายสาขาให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เน้นโลเคชั่นในห้างสรรพสินค้าและย่านการค้าที่ใกล้แหล่งชุมชนและแหล่งทำเลการค้าต่างๆ
ขณะเดียวกันเป็นการเปิดโอกาสให้พันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นบุคคลทั่วไป ผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีความสนใจในธุรกิจเครื่องสำอาง ได้มีโอกาสเข้าสู่ธุรกิจอย่างมีศักยภาพ สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม และแข่งขันกับแบรนด์เครื่องสำอางทุกประเภทได้อย่างครอบคลุม ผ่านแบรนด์ของ BEAUTY BUFFET ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน
ส่วนช่องทาง E-Commerce ขยายแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลายทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ และ Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่ายและได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น เพิ่มกิจกรรมการตลาดผ่านแอปพลิเคชั่น "Beauty Buffet Club" ศูนย์รวมข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก รวมถึงสะสมแต้มเพื่อแลกส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3 ล้านรายด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่ร่วมกับพันธมิตรมากมาย พัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้ามีแรงจูงใจ และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้า
ตลาดต่างประเทศ (Overseas Business) คิดเป็นสัดส่วน 29.3% ของรายได้รวม โดยจะขยายตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 13 ประเทศ ประกอบด้วย จีน, ซาอุดิอาระเบีย, ฮ่องกง, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, พม่า, ลาว, มาลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย และญี่ปุ่น ซึ่งยอดขายในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ขณะเดียวกันจะเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากขึ้น พร้อมพัฒนาโมเดลการขายใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่างๆ ขายของได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทั้งขายปลีกให้กลุ่มผู้บริโภคและขายส่งให้ร้านค้า
ธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading Business) คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าขยายช่องทางหน่ายสินค้าผ่าน Modern Trade อาทิ แมคโคร, เพียวฟาร์มาซี, 7-11 และ แฟมิลี่มาร์ท โดยคาดว่าทั้งปีจะมีจุดจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดรวมมากกว่า 7,700 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ช่องทางจำหน่ายผ่าน General Trade ตั้งเป้ามีสินค้าวางจำหน่ายผ่านร้านค้าตัวแทนขายจำนวน 4,385 ร้านค้า พร้อมเพิ่มจำนวนสินค้า (SKUs) ที่จำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์
"บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงวางแผนการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการทำกำไร ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในเกณฑ์ดี เชื่อว่าจะส่งผลให้ บริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้" นายพีระพงษ์ กล่าว