นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) กางแผนการเติบโตใน 5 ปีข้างหน้า (66-70) ตั้งเป้ารายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันกลุ่ม BRR มีโนฮาวด้านต่างๆ สนับสนุน และเพื่อลดความเสี่ยงในธุรกิจน้ำตาล บริษัทได้แตกไลน์ในการพัฒนาธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งเข้ามาเพิ่มรายได้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงการสวิงของธุรกิจน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก นอกจากนั้นกลุ่มธุรกิจ BRR จะเน้นการทำธุรกิจรักษ์โลก และต่อยอดธุรกิจคาร์บอนเครดิตต่อไป
สำหรับแผนกลยุทธ์ปี 66 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตจากศักยภาพของทุกกลุ่มธุรกิจ สนับสนุนผลงานในปีนี้เชื่อว่าจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และเดินหน้ามุ่งสู่การดำเนินธุรกิจแบบ New S Curve ที่เน้นความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย
อีกทั้งธุรกิจหลักมีแนวโน้มขาขึ้นจากความต้องการน้ำตาลในตลาดโลกขยายตัว โดยแนวโน้มธุรกิจน้ำตาลในปี 66 ราคายังอยู่ในทิศทางที่ดี ปัจจุบันราคาน้ำตาลปรับเพิ่มขึ้นมาราว 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีการขายล่วงหน้าไปแล้ว 90% ของปริมาณการขายทั้งหมด ในราคาที่ค่อนข้างดี เมื่อรวมพรีเมียมต่างๆ จะเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 20.50 เซนต์ต่อปอนด์ อีกทั้งได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท ที่คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 33.50-35.50 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปัจจุบันมีการส่งออกน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วน 80% รวมทั้งรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยขยายตัวมากขึ้น
ด้านความคืบหน้าโครงการ Wood Pellet ในสปป.ลาว ที่ BRR ร่วมกับพันธมิตรอย่างราช กรุ๊ป และพันธมิตรจากทางญี่ปุ่นจัดตั้งบริษัทร่วมกันในนามบริษัท สีพันดอน-ราชลาว จำกัด กำลังการผลิต 100,000 ตันต่อปีนั้น บริษัทมีสัญญาจองซื้อระยะยาว 15 ปี จากบริษัทในญี่ปุ่นแล้วที่ราคาเฉลี่ย 170 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน คิดเป็นรายได้มูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 590 ล้านบาท ขณะนี้การก่อสร้างโรงงานและนำเข้าเครื่องจักรดำเนินการไป 59% แล้ว คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/66 ตามแผน
ด้านกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด (SEW) ในปี 66 มีแนวโน้มเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 20% และคาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ 250-300 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 90%
นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทมีการออกวอร์แรนต์ 2 ชุด คือ BRR-W1 จำนวนไม่เกิน 162,419,969 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ และกำหนดราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิเท่ากับ 7.50 บาทต่อหุ้น อายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ 6 เดือน กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 28 เม.ย.2566 นี้ และกำหนดใช้สิทธิครั้งสุดท้าย วันที่ 11 ส.ค.66 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งด้านราคาและปริมาณจำหน่าย
และ BRR-W2 จำนวนไม่เกิน 81,209,984 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ และกำหนดราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิเท่ากับ 13.00 บาทต่อหุ้น อายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 30 มิ.ย.66 นี้ และกำหนดใช้สิทธิครั้งสุดท้าย วันที่ 13 ก.พ.69 มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมของบริษัทในอนาคต อาทิ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย และธุรกิจ Wood Pellet ซึ่งการออก BRR-W2 จะสอดคล้องกับแผนการลงทุนของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ที่ได้วางแผนการลงทุนไว้ที่ 510 ล้านบาท
ส่วนการจับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เพื่อปล่อยสินเชื่อ ปัจจุบันให้วงสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการปลูกอ้อย (เกี๊ยวอ้อย) แล้ว 300 ล้านบาท และภายในเดือน มี.ค.นี้ จะขยายตู้น้ำมันไปถึง 100 ตู้ รอบเขตพื้นที่ส่งเสริมการปลูกอ้อย ในจ.บุรีรัมย์ นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ เช่น ประกันภัย เป็นต้น ผ่านเกษตรกรในเครือข่ายกว่า 20,000 ครัวเรือน และมีรถบรรทุกที่พร้อมจะนำมาทำสินเชื่อจำนำทะเบียนอีกประมาณ 2,500 คัน รวมทั้งการดึงร้านค้าซิงเกอร์มาเปิดในพื้นที่ชุมชนรอบโรงงาน และเขตพื้นที่ส่งเสริมการปลูกอ้อยภายในจ.บุรีรัมย์ คาดจะขยายต่อเนื่องไปจังหวัดใกล้เคียงต่อไป ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชุมชน ดังนั้น สิ่งที่ BRR จะได้นอกจากมาร์จิ้นจากค่าบริหารจัดการแล้ว เมื่อกลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายมีเงินทุนต้นทุนต่ำ เกษตรกรก็จะนำไปพัฒนาปรับปรุงการผลิต ทำให้ผลผลิตอ้อยมีคุณภาพสูงและส่งให้แก่โรงงานได้เพิ่มขึ้น เป็นผลพลอยได้ที่จะตามมา โดยจะเป็นอีกสตอรี่เชิงบวกที่จะมาหนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของ BRR ในระยะยาว