นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วงใตรมาส 1/66 ทำได้ราว 2 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นไปตามที่บริษัทคาดหวังไว้ แม้ว่าบริษัทเปิดโครงการใหม่เพียง 2 โครงการ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท แต่ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมถึงการนำโครงการไปออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การขายให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่เพิ่มเริ่มฟื้น ทำให้กำลังซื้อยังไม่กลับมาฟื้นตัวเต็มที่ และยังมีความเปราะบางจากหนี้สินครัวเรือนที่สูง รวมทั้งรายได้ของประชาชนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังไม่กลับมาเต็มที่ ทำให้บริษัทมีการขายบ้านในลักษณะการผ่อนดาวน์เพิ่มเข้ามาในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านมีเวลาในการเตรียมความพร้อมก่อนการกู้สินเชื่อ เพราะปัจจุบันภาวะกำลังซื้อที่ยังเปราะบาง เป็นสาเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้บริษัทจึงหันมาขายบ้านแบบผ่อนดาวน์มากขึ้น จากก่อนหน้าที่ขายบ้านสร้างเสร็จพร้อมขาย ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทอยู่ที่ราว 25-30%
ด้านแนวโน้มในช่วงไตรมาส 2/66 มั่นใจว่าจะเห็นการเติบโตของภาพรวมผลการดำเนินงานที่เร่งตัวขึ้น จากการที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่เป็นจำนวนมากขึ้น อีกทั้งมองกำลังซื้อจะกลับมาดีขึ้นค่อนข้างมากจากไตรมาสแรก เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของภาคท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะเห็นกลุ่มคนที่ทำงานในอฺตสาหกรรมท่องเที่ยวมีรายได้ที่ฟื้นกลับมา และเข้ามาช่วยหนุนต่อกำลังซื้อในไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป และทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์คึกคักมากขึ้น และเป็นผลบวกต่อธุรกิจของบริษัท
ทั้งปี 66 บริษัทยังมั่นใจว่าจะทำยอดขายทำได้ตามเป้า 8.6 พันล้านบาท และยอดโอน 6.85 พันล้านบาทเข้าเป้าเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) แล้ว 1 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด และยังเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามเป้า 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7-8 พันล้านบาท
ล่าสุดบริษัทได้กลับมาพัฒนาแบรนด์ "บ้านลลิล The Prestige" ที่เป็นแบรนด์บ้านพรีเมียมระดับราคา 5-8 ล้านบาท โดยได้พลิกโฉมการพัฒนาใหม่ในทุกส่วน เพื่อเจาะตลาดกำลังซื้อระดับบนโดยเฉพาะ ทั้งนี้ได้อัพเกรดวัสดุตกแต่งก่อสร้างให้พรีเมียมยิ่งขึ้น และพัฒนาระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง ให้รองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในปัจจุบันที่มุ่งเน้นด้านการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยได้พัฒนา 2 โครงการแรกในย่านประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์ และย่านวงแหวนฯ - ลำลูกกา คลอง 6 รวม 446 ยูนิต มูลค่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการล้วนได้รับการตอบรับที่ดีเพราะปัจจัยด้านการออกแบบที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประโยชน์ใช้สอย และสุนทรียภาพในการอยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพ