นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ บมจ.ยูนิ เวนเจอร์ (UV) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปี 51 จะเน้นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 78% แบ่งเป็นการลงทุนผ่าน บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ จำกัด, ในบริษัท ปริญเวนเจอร์ จำกัด, ในบริษัท เลิศรัฐการ จำกัด ผู้บริหารโครงการแยกเพลินจิต-วิทยุ รวมทั้ง ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผงสังกะสีอ๊อกไซด์ 12% ธุรกิจพลังงาน 5% และธุรกิจอื่นๆ 2%
บริษัทคาดว่ายอดขายและรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักกว่า 80% ยังมาจากธุรกิจสังกะสี แต่ในอนาคตรายได้จากอสังหาริมทรัพย์จะมากขึ้นเป็น 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากที่ปัจจุบันยอดขายสังกะสีเป็นหลักในการพยุงบริษัทไว้
โดยเฉพาะเมื่อโครงการแยกเพลินจิต-วิทยุที่จะเริ่มก่อสร้างประมาณปลายปีนี้ จะแล้วเสร็จในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโครงการโรงแรมเกรดเอและออฟฟิศให้เช่า มูลค่าประมาณ 4 พันล้านบาท
"ตอนนี้โครงการกำลังอยู่ระหว่างการออกแบบว่าจะแบ่งสัดส่วนโครงการอย่างไร ส่วนเรื่องการเจรจาย้ายผู้เช่าเดิมก็ไม่มีปัญหา คาดว่าจะย้ายผู้เช่าเดิมออกได้หมดภายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า และเชื่อว่าผลตอบแทนจะ Return กลับมาภายใน 7-10 ปี สำหรับเงินลงทุนในโครงการนี้ก้อนแรกจะมาจากเงินที่นายฐาปน และ นายปณต สิริวัฒนภักดีเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน แต่ระหว่างที่โครงการกำลังก่อสร้างและหากต้องมีการใช้เงินเพิ่มก็อาจจะมาจากการกู้หรือไม่ก็ระดมทุนเพิ่ม แล้วแต่สถานการณ์"นางอรฤดี กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีเงินสดประมาณ 800-1,000 ล้านบาท และมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.11 เท่า ซึ่งน้อยมากในธุรกิจนี้
ในส่วนของการลงทุนในโครงการอื่นๆ บริษัทใช้เงิน 500 ล้านบาทเข้าซื้อโครงการคอนโดมิเนียม 3 แห่งจากเอกชน ซึ่งมีทั้งที่ยังเป็นที่ดินเปล่า และโครงการที่ยังไม่ได้ลงเสาเข็มในย่านพระราม 4, บางซื่อ, วิภาวดี เข้ามาพัฒนาต่อและบริหาร รวมประมาณ 700 ยูนิต มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแผนเข้าลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพ มีโอกาสทางการตลาด แต่เจ้าของประสบปัญหาทางด้านการเงิน
ส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานว่า ปัจจุบันบริษัทฯได้ลงทุน 50 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% กับกองทุนจากประเทศสิงคโปร์ทำโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกจากวัสุดเปลือกไม้และถ่านหิน กำลังผลิต 1.5 เมกะวัตต์ เพื่อป้อนให้กับโรงงานใน จ.จันทบุรี
"ตอนนี้ก็เริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าแห่งนี้แล้ว คือ ปัจจุบันโรงไฟฟ้านี้มีกำไรประมาณ 3 ล้านบาทต่อเดือน เรารับรู้ 20% แต่ธุรกิจนี้เป็นไปด้วยดี บริษัทฯก็มีแผนที่จะขยายการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ในอนาคต"นางอรฤดี กล่าว
นางอรฤดี กล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/51 ยอดขายน่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายสังกะสีอ๊อกไซด์เพิ่มขึ้นเป็น 1,100 ตัน/เดือน จาก 800 ตัน/เดือนในช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าราคาของสังกะสีโดยเฉลี่ยจะลดลงมาอยู่ที่ 2.3 พันเหรียญสหรัฐ/ตันจาก 2.7 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนแนวโน้มไตรมาสที่ 2 ยอดขายก็น่าจะยังอยู่ที่เดือนละ 1,100 ตัน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--