บมจ.บริษัท พีลาทัส มารีน (PLT) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 280,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 1.55 บาท ระยะเวลาจองซื้อวันที่ 19-21 เม.ย.66 คาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 27 เม.ย.นี้
บริษัทได้แต่งตั้งให้ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บล.ทิสโก้ บล.ทรีนีตี้ และ บล.ดาโอ (ประเทศไทย)
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (Price to Earnings Ratio : P/E) ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 1.55 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 23.92 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.65 ซึ่งเท่ากับ 62.21 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 960,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 บาทต่อหุ้น
สำหรับสัดส่วนหุ้นของผู้มีส่วนร่วมในการบริหารที่ไม่ติด Silent Period จำนวน 152.00 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.83% ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO โดยหุ้นเดิมที่ไม่ติด Silent Period ที่เหลืออยู่ทั้งหมดของ นายฐกฤต ฉิมตะวัน, นายธฤษณุ ฉิมตะวัน และ นางสาวธนภร ฉิมตะวัน จำนวนทั้งหมดจะเข้าทำข้อตกลงงดการเสนอขาย ขายหรือโอนด้วยวิธีการใด ๆ ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันเข้าเทรด (Lock-Up)
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้รับจากการระดมทุน เพื่อลงทุนซื้อเรือบรรทุกก๊าซ LPG และก๊าซเคมีเหลวราว 250-300 ล้านบาท ดังนี้ 1.ซื้อเรือมือสองที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี เพื่อทดแทนเรือเก่า เพื่อปรับอายุกองเรือให้มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 25 ปี และ 2. ขยายกองเรือใหม่สำหรับการเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าเหลวทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
รวมทั้ง เพื่อลงทุนขยายกองรถบรรทุกก๊าซ LPG วงเงิน 65 ล้านบาท, เพื่อใช้ในการติดตั้งระบบ ERP ภายในองค์กร 15 ล้านบาท, ปรับปรุงลานจอดรถบรรทุกก๊าซ LPG และก่อสร้างโรงซ่อมบำรุงรถบรรทุกก๊าซ LPG วงเงิน 12 ล้านบาท และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 28.55-78.55 ล้านบาท
นายวราวิช ฉิมตะวัน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PLT กล่าวว่า เงินที่บริษัทระดมทุนได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปลงทุนซื้อเรือทดแทนเรือที่ถึงกำหนดปลดระวางเพื่อลดอายุเฉลี่ยกองเรือ เพื่อเพิ่มอัตราค่าขนส่งและลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษา ขยายกองเรือบรรทุกก๊าซ LPG และก๊าซเคมีเหลวเพื่อเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์ขนส่งไปยังกลุ่มสินค้าก๊าซเคมีเหลวประเภทผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์ และขยายช่องทางและเส้นทางการขนส่งสินค้าไปยัง CLMV ขยายกองรถบรรทุกก๊าซ LPG เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต พร้อมติดตั้งระบบ ERP ภายในองค์กร ปรับปรุงลานจอดรถบรรทุกก๊าซ LPG ก่อสร้างโรงซ่อมบำรุงรถบรรทุก และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต
ผลประกอบการในช่วงปี 62-65 บริษัทมีรายได้รวมจากการให้บริการขนส่ง 707.77 ล้านบาท 637.75 ล้านบาท 665.34 ล้านบาท และ 794.16 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ในปี 65 เติบโต 17.13% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณการขนส่งทางเรือและทางรถที่เพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์โควิดผ่อนคลายลง
ส่วนกำไรสุทธิช่วงปี 62-65 เท่ากับ 69 ล้านบาท 35.93 ล้านบาท 55.07 ล้านบาท และ 62.21 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปัจจุบัน สัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจขนส่ง LPG ทางเรือประมาณ 94% และทางรถประมาณ 6%
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการลงทุน การพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ การขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ รวมถึงการเดินหน้าหาโอกาสทางธุรกิจใหม่และกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น การให้บริการโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ด้วยคุณภาพการบริการที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัยระดับสากล เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการให้บริการขนส่ง LPG ทางเรือและทางรถมานานกว่าทศวรรษ ด้วยจุดแข็งของ PLT ที่มีจำนวนกองเรือขนส่ง LPG มากที่สุดถึง 19 ลำ ขนาดเรือตั้งแต่ 570-900 ตัน และมีอายุเฉลี่ยของกองเรือน้อยที่สุดของประเทศ รวมถึงมีสัญญาระยะยาวกับลูกค้า ซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้มีรายได้ที่ต่อเนื่อง" นายวราวิช กล่าว
ขณะที่ นางสาวรัชนี ชาติบัญชาชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า การระดมทุนครั้งนี้ของ PLT นับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัท สร้างความสำเร็จให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล ในฐานะที่ PLT เป็นบริษัทชั้นนำในการให้บริการขนส่งก๊าซ LPG ทางเรือและทางรถ ที่มีความแข็งแกร่งด้วยทีมผู้บริหารมากประสบการณ์ บุคคลที่มีความรู้และผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพมากว่า 13 ปี รวมถึงมีจำนวนกองเรือขนส่ง LPG มากที่สุดในประเทศ ทำให้ลูกค้าซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายใหญ่ของประเทศ เช่น บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) และ บมจ.ปตท. (PTT) ไว้วางใจเลือกใช้บริการอย่างต่อเนื่องตลอดมา ทำให้บริษัทมีรายได้ในปี 62-65 กว่า 70% จากสัญญาระยะยาวจากลูกค้าหลัก ที่มีอัตราค่าขนส่งไม่ผันผวนตามดัชนีค่าระวางเรือเหมือนกับบริษัทเดินเรือทั่วไปที่มีรายได้ขึ้นลงตามตลาดโลก รวมทั้งมีคู่แข่งน้อยรายในอุตสาหกรรมเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงและต้องมีระบบมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า PLT จะเป็นหุ้นคุณภาพที่เติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมขนก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ในปัจจุบันมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีทิศทางเติบโตอย่างชัดเจนตามการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ รวมถึงราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซ LPG มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้มั่นใจว่า ปี 2566 PLT จะสามารถสร้างการเติบโตและเล็งเห็นถึงโอกาสการขยายธุรกิจในอนาคต ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
ด้าน นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า PLT ถือเป็นบริษัทระดับแนวหน้าที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้คงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยังรักษาความเป็นผู้นำในการให้บริการขนส่งก๊าซ LPG ทางเรือและทางรถของประเทศ จากลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทที่ให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทางเรือเป็นหลัก จึงเห็นได้ว่าธุรกิจของบริษัทมีความแตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจขนส่งทางเรือประเภท เรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกอง (Dry Bulk Carrier) หรือเรือบรรทุกสินค้าบรรจุตู้ (Container Vessel) หรือเรือขนส่งสินค้าเหลว (Liquid Tanker) โดยสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นการขนส่งผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
โดยการขนส่ง LPG ซึ่งมีระดับความอันตรายในการขนส่งสูง ต้องมีขั้นตอนกระบวนการขนส่งที่อาศัยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญและผลงานที่ต้องได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ จากลูกค้าคู่ค้า และมีเม็ดเงินลงทุนที่สูง ส่งผลให้มีผู้เล่นในอุตสาหกรรมน้อยราย และมีการแข่งขันไม่สูง โดยการเติบโตของอุตสาหกรรมเป็นไปตามความต้องการก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนและในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก
นอกจากนี้การกำหนดอัตราค่าขนส่งของบริษัทมีสูตรการคิดอัตราค่าขนส่งเฉพาะซึ่งอาจแปรผันตามราคาน้ำมันที่สถานีบริการในประเทศส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้อ้างอิงดัชนีราคาขนส่งตามกลไกของดัชนีค่าขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ตามราคาตลาดโลกซึ่งมีความผันผวนสูง จึงมีความแตกต่างจากบริษัทขนส่งทางเรือที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยหากพิจารณาบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขนส่งทางเรือที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าบริษัทส่วนใหญ่เป็นการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่มีราคาผันผวนไปตามราคาตลาดโลกและมีการคิดอัตราค่าขนส่งตามดัชนีราคาขนส่งที่แปรผันไปตามกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นจึงไม่มีบริษัทที่สามารถนำมาเปรียบเทียบในการประเมินราคาได้