นายกษมา บุณยคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) คาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/51 และ ไตรมาส 2/51 จะปรับตัวดีขึ้นโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ช่วงครึ่งแรกของปีนี้เติบโตดีกว่าปีก่อนราว 10% โดยเฉพาะเมื่อปัญหาการเมืองภายในประเทศคลี่คลายลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่แล้ว
นอกจากนั้น ในไตรมาส 1/51 รับรู้รายได้เต็มที่จาก คอร์ทยาร์ด โดยแมริออทที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนพ.ย.50 โดยจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นราว 35% มาอยู่ที่ 1,215 ห้อง ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ โดยอัตราการเข้าพักเพิ่มเป็น 80% ถือว่าดีกว่าคาด จากอัตราการเข้าพักที่ 50% ในช่วง พ.ย.-ธ.ค.50 ที่เพิ่งเปิดดำเนินการ
"คาดการณ์รายได้ปี 51 เรื่องรายได้พูดยากเพราะสถานการณ์ swing มาก แต่ที่ผ่านมาไตรมาส 1 ดี และคาดไตรมาส 2 ก็ยังใช้ได้อยู่ ภาพรวมครึ่งปีแรกคาดว่ารายได้โดยรวมน่าจะโต 10% สอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจโรงแรม"นายกษมา กล่าว
ทั้งนี้ โรงแรมใหญ่ใน กทม.ซึ่งทำรายได้หลักให้กับบริษัท มีอัตราการเข้าพักที่ดีในช่วงไตรมาส 1/51 โดยโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ มีอัตราเติบโตกว่า 20% และโรงแรมเจดับบลิวแมริออทโตกว่า 10% รวมโรงแรมในกทม. 2 แห่งอัตราการเข้าพักเติบโต 16-17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานอัตราการเข้าพักปีที่แล้วต่ำมาก เพราะงานสัมมนา หรือลูกค้าที่เป็นกรุ๊ปลดลง
"เป็น Sentiment เรื่องการเมืองกับธุรกิจโรงแรมจะมีผลมากโดยเฉพาะโรงแรมขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับโรงแรมขนาดกลางจะรับผลน้อยกว่า เราเป็นคอร์ปอร์เรท ลูกค้า save เช่น จัดงานสัมมนาบางทีก็เลื่อนออกไปได้ รอได้ ซึ่งปี 50 อัตราการโตควรจะโต 10% ขึ้นไปแต่อัตราการโตตรงนั้นหายไป เพราะกลุ่มสัมมนาเหล่านั้นหายไป"นายกษมา กล่าว
ERAWAN ในปี 50 มีรายได้ 3,194.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 401.9 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/50 มีรายได้ 831.2 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาส 1/49
*คาดเติบโตก้าวกระโดดหลังเปิดโรงแรมครบ 16 แห่งในปี 53
นายกษมา กล่าวว่า การเติบโตของกลุ่ม ERAWAN น่าจะเป็นไปอย่างก้าวกระโดดในปี 53 เนื่องจากเป็นปีที่จะเปิดโรงแรมครบ 16 แห่ง จำนวนห้องพักเพิ่มเป็น 4 พันห้อง จากปัจจุบันที่มี 1,100 ห้อง ซึ่งจะทำให้กลุ่ม ERAWAN มีโรงแรมครอบคลุมตลาดเกือบครบทุกระดับ และจะกลายเป็นกลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่เชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
"ภาพรวม 2 โรงแรมในกทม. รวมกับที่ขยายในปัจจุบันที่กำลังก่อสร้างก่อนที่จะเปิดดำเนินการอีก 14 โรงแรมทำให้กลุ่มเอราวัณต้นปี 53 มี 16 โรงแรมที่เปิดดำเนินการ โดยสาระสำคัญคือการขยาย กระจายความเสี่ยงเพื่อรองรับดีมานด์ ทั้งตลาดระดับบน กลาง ล่าง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจต่างๆ ทั่วประเทศ" นายกษมา กล่าว
ตามแผนงานของบริษัท ในปี 51 จะเปิดโรงแรมใหม่ 5 แห่ง คือ โรงแรม ซิกเซ้นท์ เดสทิเนชั่น สปา ภูเก็ต คาดว่าจะเปิดเดือนพ.ค.นี้ และ โรงแรมในเครือ Ibis อีก 4 แห่งที่จะทยอยเปิดตั้งแต่ไตรมาส 2/51 ได้แก่ หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต, ถนนสาทร กทม., พัทยา และ เกาะสมุย
ปี 52 มีโรงแรมเปิดใหม่ 6 แห่ง คือ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา เงินลงทุน 1,800 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดไตรมาส 3/52 และเครือ Ibis อีก 5 แห่ง คือที่ ซอยนานา กทม., กระบี่, ศรีราชา จ.ชลบุรี, ริเวอร์ไซด์ กทม.และ หาดกะตะ จ.ภูเก็ต
ปี 53 เปิดโรงแรมในเครือ Ibis ที่เหลืออีก 1 แห่งคือ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดไตรมาส 1/53
"เป้าการเติบโตของกลุ่มเอราวัณนั้นพูดยากจาก 3 โรงแรม กลายเป็น 16 โรงแรมในต้นปี 53 เป็นการโตเพราะเราเพิ่มเครื่องยนต์ มองว่าอาจจะดีกว่าคาดอย่างอีบิสไม่ต้องแข่งขันกับใคร เมื่อเทียบกับโรงแรมระดับ 5 ดาว มีการแข่งขันที่สูงกว่ามาก เปิด Ibis gพราะมองถึงความแตกต่างในแง่ซัพพลายในอนาคตเป็นหลัก"นายกษมา กล่าว
ปัจจุบันกลุ่ม ERAWAN มีโรงแรมภายใต้การบริหาร 4 แห่งคือ แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ , เจ ดับบลิว แมริออท, เรเนซองส์ สมุย และคอร์ทยาร์ด
นายกษมา กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่ม ERAWAN มีเงินลงทุนอีก 4,000 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวมตามแผน 9,000 ล้านบาท โดยจะใช้ในปี 51 และ 52 ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท แหล่งเงินทุนมาจากการเพิ่มทุน แปลงวอร์แรนต์ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งทุกโครงการได้ลงนามในสัญญากับธนาคารพาณิชย์มา 1 ปีครึ่งแล้ว
ส่วนราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นนั้น ทางบริษัทได้ล็อกไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะโครงการใหม่ๆ เผื่อไว้แล้วที่ 10-20% ขึ้นไปจากของเดิม
"เป้าการเติบโตของกลุ่มเอราวัณนั้นพูดยากจาก 3 โรงแรม กลายเป็น 16 โรงแรมในต้นปี 53 เป็นการโตเพราะเราเพิ่มเครื่องยนต์ มองว่าอาจจะดีกว่าคาดอย่าง Ibis ไม่ต้องแข่งขันกับใคร เมื่อเทียบกับโรงแรมระดับ 5 ดาว มีการแข่งขันที่สูงกว่ามาก เปิด Ibis เพราะมองถึงความแตกต่างในแง่ซัพพลายในอนาคตเป็นหลัก"นายกษมา กล่าว
นายกษมา กล่าวว่า การขยายธุรกิจโรงแรมอยากให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนว่าประเทศไทยก็มีบริษัทโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ด้อยไปกว่าต่างประเทศ แต่ปัจจุบันโรงแรมในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ไม่มี ตลาดหุ้นไทยควรที่จะมีธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมองว่าเป็นบริษัทที่มีคุณภาพ
"เราอยู่ในภาวะที่มั่นคง อยู่ในระดับการจัดการได้ตามแผน"นายกษมา กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--