นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) คาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 7-8 เหรียญ/บาร์เรล ใกล้เคียงกับปี 50 ทั้งนี้ยังไม่รวมกับกำไรจากสต็อกน้ำมันซึ่งปีก่อนอยู่ที่ระดับ 3.25 เหรียญ/บาร์เรล แต่ปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัท
แต่ขณะเดียวกันราคาอะโรเมติกส์ยังคงอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะพาราไซลีนที่อยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อตัน แต่ในส่วนของเบนซีนปรับตัวลดลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาคาดการณ์ว่าราคาปิโตรเคมีจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่บริษัทยังเชื่อว่าราคายังอยู่ในระดับสูง เพราะความต้องการใช้ในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางแต่เชื่อว่าดีมานด์จะเติบโตทันกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
สำหรับคาดการณ์รายได้ปี 51 นายวิโรจน์ คาดว่าจะเติบโตกว่าปีก่อนทั้งรายได้จากการกลั่นและอะโรเมติกส์ที่ปีนี้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 9 แสนตัน จากปีก่อน 3.9 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว โดยบริษัทเริ่มผลิตเต็ม 100% ตั้งแต่กลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการทั้งปี โดยอะโรเมติกส์ที่เพิ่มขึ้นส่งขายในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50%
ส่วนโรงกลั่น ปัจจุบันบริษัทไม่มีแผนที่จะหยุดเดินเครื่อง โดยขณะนี้ใช้กำลังการผลิต 104-105% และบางช่วงสูงถึง 110% แต่คงก็จะไม่ให้เกิน 100% นานนักเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อเครื่องจักร โดยกำลังการกลั่นของ TOP อยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน
สำหรับความร่วมมือกับวิทยาลัยปิโตรเลียม และปิโตรเคมี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อลดการใช้พลังงานรวมถึงศึกษาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ปิโตรโคมี รวมถึงการทำพลังงานทดแทนจากพลาสติก เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการลดการใช้พลังงานภายในโรงงานของTOP โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะลดพลังงานได้ 20% ของต้นทุนพลังงานทั้งหมด
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/จำเนียร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--