นายตารุณ คูมาร์ ดากา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทในงวดปี 66/67 (เม.ย.66-มี.ค.67) จะเน้น 3 ด้าน ได้แก่
1. ขายกลุ่มสินค้าเหล็กให้มีความหลากหลายมากขึ้น (Product Mix) เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายเหล็กให้กับกลุ่มลูกค้าต่างๆที่มีความต้องการใช้เหล็กแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน ทำให้กลุ่มลูกค้าเกิดการกระจายตัว รวมถึงทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าเหล็กที่สามารถผลิตออกมาได้มากขึ้น
2. นำเสนอสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ (Down stream) เพื่อต่อยอดจากกลุ่มสินค้าหลัก และนำเสนอ Solution ใหม่ๆให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อเหล็กของบริษัท
และ 3. รักษาตลาดส่งออก เพื่อเป็นทางเลือกที่เข้ามาเสริมกับตลาดในประเทศ โดยที่สัดส่วนยอดขายเหล็กจากการส่งออกของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะทรงตัวที่ 10% และส่วนใหญ่มาจากการขายในประเทศ 90%
ในปี 66 บริษัทจะยังคงรักษาปริมาณการขายให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1.21 ล้านตัน โดยคาดหวังว่าหลังการเลือกตั้งจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาทำงาน และผลักดันโครงการต่างๆ ของภาครัฐออกมา รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการในการลงทุน รวมถึงการเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศกลับมาเติบโตขึ้นได้ หลังจากช่วงที่ผ่านมาเกิดการชะลอตัว เพราะผู้ประกอบการต่างๆยังไม่เร่งเดินหน้าการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนของการเมืองในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้ยังมีผู้ประกอบการบางกลุ่มที่เดินหน้าลงทุนและเป็นผู้ใช้หลักในตอนนี้ คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กลับมาลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัย โรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนใหม่ในปีนี้ เพราะกำลังการผลิตปัจจุบันสามารถรองรับกับความต้องการใช้เหล็กได้อย่างเพียงพอ แต่จะหันไปเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงลดต้นทุนค่าไฟฟ้า เช่น ติดโซลาร์รูฟบนหลังคาโรงงาน 14 เมกะวัตต์ ที่จะแล้วเสร็จภายในปีนี้ รวมถึงการหาแนวทางในการทำงานช่วง Off-peak ของค่าไฟฟ้า คือ ช่วงเวลาการคืน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าไฟฟ้าลงได้บ้าง ซึ่งปัจจัยในเรื่องการบริหารต้นทุนการผลิตถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ท้าทายในปีนี้
ขณะเดียวกัน การส่งผ่านราคาต้นทุนที่สูงขึ้นไปสู่ราคาขายเหล็กของบริษัท หรือการปรับเพิ่มราคาขายในช่วงที่ผ่านมาถือว่าทำได้ไม่มาก เห็นได้จากส่วนต่างราคาขายกับราคาต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความท้าทายต่อความสามารถในการทำกำไร ซึ่งบริษัทพยายามหาแนวทางลดต้นทุน และไม่ทำให้ราคาขายกระทบต่อลูกค้ามาก เพื่อทำให้บริษัทยังมีโอกาสในการรักษาฐานลูกค้าของบริษัท และสร้างยอดขายได้
"ตอนนี้สถานการณ์มีความไม่แน่นอนอยู่มาก ทำให้เราไม่สามารถตั้งเป้าหมายยอดขายได้แน่นอน และก็รอหลังเลือกตั้งที่จะถึงนี้ออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเราจะเห็นความชัดเจน ทำให้เราตั้งเป้าหมายได้แน่นอน แต่เบื้องต้นจะทำให้ใกล้เคียงกับปีก่อน และรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดี" นายตารุณ คูมาร์ กล่าว