นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) เปิดเผยว่า การนำ บมจ. บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป (BVG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำให้ THRE ได้รับกำไรจากการขายหุ้นสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายจำนวน 192 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทปรับเป้าหมายเติบโตเบี้ยประกันภัยต่อรับปี 66 ขึ้นเป็นเติบโต 15-17% จากเดิมตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 65 ที่มีเบี้ยราว 4,200 ล้านบาท จากแนวโน้มค่าเบี้ยประกันภัยต่อสูงขึ้น โดยทิศทางตลาดประกันภัยต่อหลังโควิดบริษัทปรับขึ้นราคาเบี้ยไม่ต่ำกว่า 25-30% ตามตลาดต่างประเทศ ทำให้ปีนี้ต้นทุนบริษัทประกันภัยเพิ่มขึ้น แต่การปรับราคาเบี้ยเป็นประโยชน์ต่อผู้รับประกันภัยต่อและไม่กระทบลูกค้ารายย่อย
ประกอบกับ บริษัทมีรายได้จากเงินลงทุนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงจากเงินปันผลของการลงทุน อีกทั้งมีรายได้จากการให้บริการของกลุ่มบริษัทย่อยที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีรายได้ใหม่จากธุรกิจ AI โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่องขณะที่สัดส่วนรายได้จากเบี้ยประกันต่อรับของบริษัท แบ่งเป็น อุบัติเหตุและสุขภาพ 42% กลุ่มรถยนต์ 28% อสังหาริมทรัพย์ 17% ขนส่งสินค้าต่างประเทศ 2% และประกันภัยประเภทอื่น 11%
กลยุทธ์การตลาดในปี 66 บริษัทมุ่งเน้น Conventional Reinsurance มากขึ้น จากภาวะตลาด Hard market ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ THRE เติบโตในการทำกำไรได้ดีขึ้น โดยสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อรับประเภท Conventional Reinsurance มีมากกว่า 55% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 45% ในปี 2564
นอกจากนี้บริษัทวางแผนเชิงรุกเข้าไปขยายงานรับประกันภัยต่อที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบอาเซียน CLMV ทั้งกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ อีกทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ THRE มองว่ามีศักยภาพที่สามารถขยายธุรกิจได้ในอนาคต
"บริษัทมีกำไรจากการขายหุ้น BVG สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายจากการขายหุ้นเป็นจำนวน 192 ล้านบาท ซึ่งแสดงเฉพาะในงบการเงินเฉพาะกิจการ ในส่วนของงบการเงินรวมได้ถูกนำไปแสดงในส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลให้งบการเงินเฉพาะกิจการและงบการเงินรวมต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยไตรมาส 1/66 งบการเงินเฉพาะกิจการ กำไรสุทธิอยู่ที่ 148 ล้านบาท และงบการเงินรวม กำไรสุทธิอยู่ที่ 11 ล้านบาท" นายโอฬารกล่าว
ผลประกอบการไตรมาส 1/66 มีเบี้ยประกันภัยต่อรับ 1,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเบี้ยประกันภัยต่อรับ 1,024 ล้านบาท และพลิกมามีกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 184 ล้านบาท
แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/66 บริษัทคาดว่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/66 เนื่องจากบริษัทตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้เรียบร้อยแล้ว ประกอบกับบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ยังเติบโตได้ดี ตามการเติบโตของธุรกิจ Non-Conventional หรืองานบริการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับพันธมิตร ทั้งธุรกิจเทรนนิ่ง และบริการใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligent)