นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยวา (TWPC) กล่าวว่า ในปี 66 บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการของผลิตภัณฑ์หลักที่เพิ่มขึ้น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การขยายฐานลูกค้าใหม่ ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าจะยังสามารถรักษาระดับการเติบโตที่ High Single Digit แม้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนวัตถุดิบ โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมประสิทธิภาพ การลดการใช้พลังงานและการลงทุนในพลังงานทางเลือก โดยจะส่งผลในการลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยในระยะยาว"นาย โฮ เรน ฮวากล่าวในที่สุด
สถานการณ์หัวมันสำปะหลังในปัจจุบันที่คาดว่าอาจขาดแคลนในช่วงนอกฤดูกาล ราคาหัวมันสำปะหลัง ณ ปัจจุบันอยู่ในช่วง 3.6-3.8 บาทต่อกิโลกรัม (เชื้อแป้ง 25%) ในขณะที่ราคาแป้งปรบตัวสูงขึ้นตามราคาหัวมันที่สูงขคึ้น อยู่ในช่วง 540-560 USD/Ton.ความต้องการแป้ง ซึ่งคาดว่าราคาขายจะปรับตัวสูงขึ้น สำหรับการจัดหัวมันสำปะหลัง บริษัทฯ ได้จัดทีมฝ่ายไร่และการจัดหาหัวมันสำปะหลัง เพื่อจัดหาหัวมันจากเกษตรกรเครือข่ายและจากหัวมันทางไกล เพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการตามแผนการผลิต
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นและจัดสัดส่วนการขายไปที่ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม ทำให้ยอดขายของธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมุลค่าเพิ่ม (HVA) เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากยอดขายผลิตภัณฑ์กลูโคสและแป้งมันสำปะหลังดัดแปร
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/66 บริษัทยังคงสามารถรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์วุ้นเส้น และผลิตภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทย สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกช่องทางการขายที่สำคัญ โดยธุรกิจอาหารของบริษัทฯ และบริษัทย่อย เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขาย 528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สัดส่วนยอดขายในประเทศคิดเป็น 87% ในขณะที่ยอดขายจากการส่งออกไปขายในต่างประเทศคิดเป็น 13% ของยอดขายจากธุรกิจอาหารทั้งหมด
ยอดขายของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง (Native) จำนวน 1,208 ล้านบาท หรือ 48% รายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม (HVA) จำนวน 781 ล้านบาท หรือ 31% รวมเป็นยอดขายทั้งหมด 2,517 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52 ล้านบาท หรือ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นมีจำนวนเท่ากับ 85 ล้านบาท
ยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้นในช่องทางหลัก โดยเฉพาะร้านค้าขายปลกสมัยใหม่ (Modern Trade) การขายส่ง (Wholesale) และหน่วยรถเงินสด ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มความหลากหลายของประเภทสินค้า การพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ที่ดีต่อสุขภาพ สุขอนามัย และมีความสะดวกสบาย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Ready-to-eat) ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ปัจจัยสำคัญเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักในการผลักดันการเติบโตของยอดขายของกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อส่งมอบอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค
ส่วนธุรกิจอาหาร ยังคงเติบโตจากการขยายช่องทางการขายและการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งบริษัทฯจะบริหารต้นทุนโดยการใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบ ค่าแรงงาน และค่าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทวางแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 5-8 SKU ในปีนี้ ซึ่งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จะเป็นส่วนสำคัญในการเติบโต Double digit growth ในปีนี้และระยะยาว
สำหรับโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง ที่ประเทศกัมพูชาอยู่ระหว่างก่อสร้าง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในการผลิตในช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งโรงงานที่กัมพูชานี้จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตนอกประเทศไทย