นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 66 เติบโต 10% จากคาดความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในช่วงที่เหลือนี้จะทยอยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรมที่กำลังฟี้นตัว
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 คาดเติบโต จากการเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนเม.ย.66 หลังจากได้เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มในประเทศไทย เพื่อต่อยอดกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) โดยไพร์ม แพ็คเกจจิ้งมียอดขายปีละประมาณ 400 ล้านบาท
ขณะที่แผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมุ่งเพิ่มยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET ฯลฯ เพื่อสร้างการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น
บริษัทฯ วางงบขยายการลงทุนรวมในปีนี้ 1,500-1,600 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนเพื่อใช้ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเตาหลอมแก้ว 2 เตาและการลงทุนขยายธุรกิจในรูปแบบ M&A รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท การสั่งซื้อเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ภายในโรงงานอีก 300-400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจและการเติบโต
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 แม้มีแรงกดดันจากค่าไฟฟ้าและราคาวัตถุดิบหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เศษแก้วและโซดาแอช (โซเดียมคาร์บอเนต) รวมถึงราคาพลังงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ได้มุ่งเน้นผลักดันยอดขายและบริหารต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วยโดยไม่กระทบกับคุณภาพสินค้า นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เข้าร่วมโครงการประหยัดพลังงานกับ ESCO (Energy Service Company) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าและพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ ปรับใช้พลังงานทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกอย่างต่อเนื่อง หารือร่วมกับกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างสมดุลแก่ดีมานด์และซัพพลายเศษแก้ว รวมถึงเจรจาปรับราคาสินค้า ส่งผลให้มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 3,814 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 3,967 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 217 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าไฟฟ้า รวมทั้งพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และกำไรพิเศษจากการจำหน่ายธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงไตรมาสเดียวกันในปีก่อน