นายอังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โรงพยาบาลลาดพร้าว (LPH) เปิดเผยว่า การที่คณะกรรมการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีมติอนุมัติให้มีการปรับอัตราเหมาจ่ายรายปีขึ้น จาก 1,640 บาทต่อราย เป็น 1,808 บาทต่อราย ในการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ 1 พ.ค.66 น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของ LPH อย่างชัดเจน เพราะช่วยผลักดันให้รายได้ขยายตัวมากขึ้น
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ LPH มาจากกลุ่มผู้ประกันตนในส่วนของประกันสังคมอยู่ที่ประมาณ 45%, กลุ่มผู้ป่วยเงินสดอีกราว 55% ซึ่งหากจำแนกเฉพาะฐานผู้ป่วยประกันสังคมล่าสุด อยู่ที่กว่า 1.7 แสนราย (ปัจจุบันบริษัทมีโควต้ารวมราว 2 แสนราย) ดังนั้นปีนี้ บริษัทจึงมีแนวทางทำตลาดในกลุ่มผู้ประกันตนของ สปส.ให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต อีกทางหนึ่ง
ขณะเดียวกันล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวศูนย์ผู้ป่วยประกันสังคมแห่งใหม่ บริเวณถนนลาดพร้าว ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลลาดพร้าวในปัจจุบัน ซึ่งสามารถรองรับในส่วนผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ประมาณ 1,000-1,500 รายต่อวัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการในส่วนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
"มั่นใจว่าในปี 66 ฐานผู้ป่วยประกันตนจะพุ่งครบโควต้า 200,000 ราย จากปี 65 อยู่ที่ 170,000 ราย เนื่องจากช่วงต้นปีจะเป็นช่วงขอเปลี่ยนสถานพยาบาลของประกันสังคมรอบใหม่ และธุรกิจย่านลาดพร้าวมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดศูนย์การแพทย์ประกันสังคมลาดพร้าวแห่งใหม่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลเดิมด้วย เพื่อรองรับฐานผู้ป่วยที่ใหญ่ขึ้น สามารถรับผู้ป่วยนอกประกันสังคม วันละ 1,000 คน และเป็นศูนย์ตรวจสุขภาพประกันสังคมด้วย" นายอังกูร กล่าว
สำหรับแผนการลงทุนในปี 66 LPH มีแผนสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งใหม่ที่ถนนลาดพร้าว รพ.จักษุอินเตอร์ฯ ลาดพร้าว มูลค่าการลงทุน 500 ล้านบาท และรพ.ศัลยกรรมเฉพาะทางรวมผ่าตัดหัวใจครบวงจร มูลค่าการลงทุน 500 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการปี 68 และบริษัทมีแผนขยายการลงทุน โรงพยาบาลตรวจสุขภาพเพิ่มขึ้น จากเดิมเปิด รพ.ตรวจสุขภาพ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่โคราช และจ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขยายฐานลูกค้าโรงงานขนาดกลางและเล็กที่มีจำนวนพนักงานไม่เกิน 500 คน คาดรายได้ในส่วนตรวจสุขภาพนอกสถานที่จะเติบโตกว่า 50%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 1/66 มีรายได้รวมอยู่ที่ 499.20 ล้านบาท ลดลง 30.14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิรวม (ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่) 17.03 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 88.76% จากการสิ้นสุดภาวะโรคโควิด ขณะที่รายได้จากการรักษาพยาบาลทั่วไปตามปกติธุรกิจไม่รวมประกันสังคมยังคงเติบโตต่อเนื่อง
รายได้รักษาพยาบาลทั่วไปตามปกติธุรกิจ เพิ่มขึ้น 7.87 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 3.05% รายได้โครงการประกันสังคมตามปกติธุรกิจ ลดลง 10.18 ล้านบาท คิดเป็น 6.65% อย่างไรก็ตาม สำนักงานประกันสังคมได้อนุมัติให้มีการปรับเพิ่มการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาแล้วมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พ.ค.66 เป็นต้นไป
ส่วนรายได้จากธุรกิจส่งเสริมสุขภาพ ปรับลดลงกว่ารายได้ที่เกิดในไตรมาส 1/65 จำนวน 47.85 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74.71% ซึ่งเป็นช่วงที่มีรายได้จากการฉีดวัคซีนโควิด และรายได้จากการเลื่อนการตรวจสุขภาพจากช่วงครึ่งปีหลังของ 64 มาตรวจแล้วเสร็จในต้นปี 65 เพิ่มขึ้นกว่าปกติ ขณะที่รายได้จากการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างมีสาระสำคัญจำนวน 165.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงกว่า 96.64% จากการสิ้นสุดภาวะการระบาดของโรคโควิด-19
ส่วนรายได้จากการให้บริการของบริษัทย่อย (บมจ. ศูนย์ห้องปฎิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย (AMARC) ในไตรมาส 1/66 เพิ่มขึ้น 0.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของของรายได้จากบริการสอบเทียบ 10.6% การเพิ่มขึ้นของรายได้จากบริการตรวจวิเคราะห์ 6.8% ของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตอาหาร กลุ่มค้าปลีกรายใหญ่และการขยายขอบข่ายให้บริการ อย่างไรก็ตาม รายได้จากบริการตรวจสอบและรับรองระบบลดลง 78.6% สาเหตุหลักจากการชะลอการใช้งบประมาณของรัฐซึ่งเป็นผลกระทบจากปีที่ผ่านมา